วันอาทิตย์ที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

เนื้อเรื่อง



เนื้อเรื่อง

สา มทฺที ปางนั้นส่วนสมเด็จพระมัทรีศรีสุนทรเทพกัญญา  จำเดิมแต่พระนางเธอลีลาล่วงลับพระอาวาส  พระทัยนางให้หวั่นหวาดพะวงหลัง  ตั้งแต่พระทัยเป็นทุกข์ถึงพระเจ้าลูกมิลืมเลย เดินพลางทางเสวยพระโศกพลาง พระนัยเนตรทั้งสองข้างไม่ขาดสายพระอัสสุชล พลางพิศดูผลาผลในกลางไพรที่นางเคยได้อาศัยทรงสอยอยู่เป็นนิตย์ผิดสังเกต เหตุไฉนไม้ที่ผลเป็นพุ่มพวง ก็กลายกลับเป็นดอกดวงเดียรดาษอนาถเนตร  แถวโน้นก็แก้วเกดพิกุลแกมกับกาหลง ถัดนั่นก็สายหยุดประยงค์และยมโดย พระพายพัดก็ร่วงโรยรายดอกลงมูนมอง แม่ยังได้เก็บดอกมาร้อยกรองไปฝากลูก เมื่อวันวานก็เพี้ยนผิดพิสดารเป็นพวงผล ผิดวอกลแต่ก่อนมา สพฺพา มุยฺหนฺเม ทิสา   ทั้งแปดทิศก็มืดมิดมัวมนทุกแห่งหน ทั้งขอบฟ้าก็ดาษแดงเป็นสายเลือด ไม่เว้นวายหายเหือดเป็นลางร้ายไปรอบข้าง  ทกฺขิณกฺขิ พระนัยนเนตรก็พร่าง ๆ อยู่พรายพร้อย ในจิตใจของแม่ยังน้อยอยู่นิดเดียว  ทั้งอินทรีย์ก็เสียว ๆ สั่นระรัวริก แสรกคานบันดาลพลิกพลัดลงจากพระอังสา ทั้งขอน้อยในหัตถาที่เคยถือ ก็เลื่อนหลุดลงจากมือไม่เคนเป็นเห็นอนาถ  เอ๊ะประหลาดหลากแล้วไม่เคยเลย โอ้อกเอ๋ยมหัศจรรย์จริง  ยิ่งคิดก็ยิ่งกริ่ง ๆ กรอมพระทัย เป็นทุกข์ถึงพระลูกรักทั้งสองคน  เดินพลางนางก็รีบเก็บผลาผลแต่ตามได้  ใส่กระเช้าสาวพระบาทบทจรดุ่มเดินมาโดยด่วน  พอประจวบจวนพญาพาฬมฤคราช  สะดุ้งพระทัยไหวหวาดวะหวีดวิ่งวนแวะเข้าข้างทาง  พระทรวงนางสั่นระรัวริกเต้นดั่งตีปลา ทรงพระกันแสงโศกาไห้พิไรร่ำว่ากรรมเอ๋ยกรรมกรรมของมัทรี  โอเวลาปานฉะนี้พระลูกน้อยจะคอยหาอนึ่งมรคาก็ช่องแคบหว่างคีรี เป็นตรอกน้อยรอยวิถีที่เฉพาะจร ทั้งสามสัตว์ก็มาเนื่องนอนสกัดหน้า ครั้นจะลีลาหลีกลัดตัดเอาไปทางใดก็เหลือเดิน ทั้งสองข้างเป็นโขดเขินขอบคันข้นกั้นไว้  นีเจ โวลมฺพเก  สุริเยทั้งเวลาก็เย็นลงเย็นลงไรๆ จะค่ำแล้ว   ยังไม่เห็นหน้าพระลูกแก้วของแม่เลย อกเอ๋ยจะทำไฉนดี   จึ่งจะได้วิถีทางที่จะครรไล  พระนางจึ่งปลงหาบคอนลงวอนไหว้แล้วอภิวาทน์  ข้าแต่พญาพาฬมฤคราชอันเรืองเดช  ท่านก็เป็นพญาสัตว์ในหิมเวศวนาสณฑ์ จงจงผินพักตร์ปริมณฑลทั้งสามรา  มารับวันทนาน้อมไปด้วยทศนัขเบญจางค์   เม  เมาะ  มยาแห่งน้องนางนามชื่อพระมัทรี  ราชปุตฺตีน้องก็กลายเป็นกัลยาณี หน่อกษัตริย์มัททราชสุริยวงศ์อนึ่งน้องเป็นเอกองค์อัครบริจาริกากรแห่งพระเวสสันดรราชฤๅษี  อันจำจากพระบุรีมาอยู่ไพร  น้องนี้ก็ตั้งใจสุจริตติดตามมาด้วยกตเวที  อนึ่งพระสุริยศรีก็ย่ำสนทยาสายัณห์แล้ว  เป็นเวลาพระลูกแก้วจะอยากนมกำหนดเสวย  พระเจ้าพี่ของน้องเอ๋ยพระสามรา  ขอเชิญกลับไปยังรัตนคูหาห้องแก้ว  แล้วจะได้เชยชมซึ่งลูกรักและเมียขวัญ อนึ่งน้องนี้จะแบ่งปันผลไม้ให้สักกึ่ง  ครึ่งหนึ่งน้องจะขอไปฝากพระหลานน้อย ๆ ทั้งสองรา  มคฺคํ  เม  เทถ  ยาจิตา พระเจ้าพี่ทั้งสามของน้องเอ่ย  จงมีจิตคิดกรุณาสังเวชบ้าง  ขอเชิญล่วงครรไลให้หนทาง  พนาวันอันสัญจร แก่น้องที่วิงวอนอยู่นี้เถิด
ฯลฯ
ตโยเทวปุตฺตา ส่วนเทพเจ้าทั้งสามองค์ได้ทรงฟังพระเสาวนีย์ พระมัทรีเธอไหว้วอนขอหนทาง   พระพักตร์นางนองด้วยน้ำพระเนตร  เทพพระเจ้าก็สังเวชในวิญญาณ ก็พากันอุฏฐาการคลาไคลให้มรคาแก่นางพระยามัทรี  พอแจ่มแจ้งแสงศศิธร นางก็ยกหาบคอนขึ้นใส่บ่า เปลื้องเอาพระภูษามาคาดพระถันให้มั่นคงวิ่งพลางนางทรงกันแสงพลาง  ยะเหยาะเหย่าทุกฝีย่างไม่หย่อนหยุด  พักหนึ่งก็ถึงที่สุดบริเวณพระอาวาสที่พระลูกเจ้าเคยประพาสแล่นเล่น  ประหลาดแล้วแลไม่เห็นก็ใจหาย  ดั่งว่าชีวิตนางจะวางวายลงทันที จึ่งตรัสเรียนว่าแก้วกัณหาพ่อชาลีของแม่เอ่ย แม่มาถึงแล้ว เหตุไฉนพระลูกแก้วจึ่งมิมาเล่าหลากแก่ใจ แต่ก่อนแต่ไรซิพร้อมเพรียง เจ้าเคยวิ่งระรี่เรียงเคียงแข่งกันมาคอยรับพระมารดา ทรงพระสรวลสำรวลร่าระรื่นเริงรีบเอาขอคานแล้วก็พากันกราบกรานพระชนนี  พ่อชาลีเจ้าเลือกเอาผลไม้  แม่กัณหาฉะอ้อนวอนไห้ว่าจะเสวยนม ผทมเหนือพระเพลาพลางฉอเลาะแม่นี้ต่างๆ  ตามประสาทารกเจริญใจ   วจฺฉา  พาลาว  มาตรํมีอุปไมยเสมือนหนึ่งลูกทรายทรามคะนอง ปองที่ว่าจะชมแม่เมื่อสายัณห์  โอพระจอมขวัญของแม่เอ่ย เจ้ามิเคยได้ยากย่างเท้าลงเหยียบดิน  รินก็มิได้ไต่ไรก็มิได้ตอม เจ้าเคยฟังแต่เสียงพี่เลี้ยงเขาขับกล่อมบำเรอด้วยดุริยางค์ ยามบรรทมธุลีลมก็มิได้พัดมาแผ้วพาน  แม่สู้พยาบาลบำรุงเจ้าแต่เยาว์มา เจ้ามิได้ห่างพระมารดาสักหายใจ โอความเข็ญใจครั้งนี้นี่เหลือขาด  สิ้นสมบัติพลัดญาติยังแต่ตัวต้องไปหามาเลี้ยงลูกเลี้ยงผัวทุกเวลา แม่มาสละเจ้าไว้เป็นกำพร้าทั้งสององค์  หํสาว เสมือนหนึ่งลูกหงส์เหมราชปักษิน  ปราศจากมุจลินท์ไปตกคลุกในโคลนหนอง   สิ้นสีทองอันผ่องแผ้ว   แม่กลับมาถึงแล้วได้เชยชมชื่นสบาย  ที่เหนื่อยยากก็เสื่อมหายคลายทุกข์ทุเลาลง  ลืมสมบัติทั้งวงศาในวังเวียง  โอ  แต่ก่อนเอยแม่เคยได้ยินแต่เสียงเจ้าเจรจาแจ้ว ๆ อยู่ตรงนี้ อิทํปทวลญฺชํนั่นก็รอยเท้าพ่อชาลี  นี่ก็บทศรีแม่กัณหาพระมารดายังแลเห็น  โน่นก็กรวดทรายเจ้ายังรายเล่นเป็นกอง ๆ   สิ่งของทั้งหลายเป็นเครื่องเล่นยังเห็นอยู่  น ทิสฺสเรแต่ลูกรักทั้งคู่ไปอยู่ไหนไม่เห็นเลย อยํโสอสฺสโมโอ พระอาศรมเจ้าเอ๋ยน่าอัศจรรย์ใจ แต่ก่อนนี่ดูสดใสด้วยสีทอง  เสียงเนื้อนกนี่ร่ำร้องสำราญรังเรียกคู่คูขยับขัน   ทั้งจักจั่นพรรณลองไน เรไรร้องอยู่หริ่ง ๆ ระเรื่อยโรย  โหยสำเนียงดั่งเสียงสังคีตขับกระโคมไพร  โอ เหตุไฉนเหงาเงียบเมื่อยามนี้ ทั้งอาศรมก็หมองศรีเสมือนหนึ่งว่าจะโศกเศร้า  เออ  ชะรอยว่าพระเจ้าลูกจะวอโยกพลัดพรากไปจากอกพระมารดาเสียจริงแล้วกระมังในครั้งนี้ นางก็กลับเข้าไปทูลพระราชสามีด้วยสงสัยว่า    พระพุทธเจ้าข้า  ประหลาดใจกระหม่อนฉัน  อันสองกุมารไปอยู่ไหนไม่แจ้งเหตุ หรือพากันไปเที่ยวลับพระเนตรนอกตำแหน่ง  สิงห์สัตว์ที่ร้ายแรงคะนองฤทธิ์   มาพานพบขบกัดตัดชีวิตพระลูกข้าพาไปกินเป็นอาหาร  ถึงกระนั้นก็จะพบพานซึ่งกเลวระร่าง  มิเลือดก็เนื้อจะเหลืออยู่บ้างสักสิ่งอัน  แต่พอแม่ได้รู้สำคัญว่าเป็นหรือตาย  สุดที่แม่จะมุ่งหมายสุดประมาณแล้ว   จึ่งตรัสว่าโอ้เจ้าแว่นแก้วสุดสว่างอกของแม่เอ่ย   แม่เคยได้รับขวัญเจ้าทุกเวลา   เป็นไรเล่าเจ้าจึ่งไม่มาเหมือนทุกวัน  มตาหรือว่าพระลูกเจ้าอาสัญสูญสิ้นพระชนมาน อยู่ในป่าพระหิมพานต์นี้แล้วแล
ฯลฯ
เมื่อสมเด็จพระมัทรีเธอกราบทูลพระราชสามีสักเท่าใด ๆ ท้าวเธอมิได้ตรัสปราศรัยจำนรรจา  นางยิ่งกลุ้มกลัดขัดพระอุราผะผ่าวร้อน ข้อนพระทรวงทรงพระกันแสงว่าเจ้าแม่เอ่ย แม่มิเคยได้เคืองแค้นเหมือนหนึ่งครั้งนี้  เมื่อจากบุรีทุเรศมา ก็พร้อมหน้าทั้งลูกผัวเป็นเพื่อนทุกข์ สำคัญว่าจะเป็นสุขประสายากเมื่อยามจน  ครั้นลูกหายทั้งสองคนก็สิ้นคิด  บังคมทูลพระสามีก็มิได้ตรัสแต่สักนิดสักหน่อยหนึ่ง  ท้าวเธอก็ขึงขังตึงพระองค์   ดูเหมือนพระขัดเคืองเต็มเดือดด้วยอันใด  นางก็เศร้าสร้อยสลดพระทัยดั่งเอาเหล็กแดงมาแทงใจให้เจ็บจิตนี่เหลือทน อุปมาเหมือนคนไข้หนักแล้วมิหนำยังแพทย์เอายาพิษมาวางซ้ำให้เวทนา เห็นชีวานี้คงจะไม่รอดไปสักกี่วัน พระคุณเอ่ย  วาสนามัทรีไม่สมคะเนแล้ว พระทูลกระหม่อมแก้วจึ่งชิงชังไม่พูดจา ทั้งลูกรักดังแก้วตาก็หายไป อกเอ๋ยจะอยู่ไปไยให้ทนเวทนาอุปมาเสมือนหนึ่งพฤกษาลดาวัลย์ย่อมจะอาสัญลงเพราะลูกเป็นเที่ยงแท้  ถ้าแม้นพระองค์ไม่ทรงเลี้ยงมัทรีไว้  จะนิ่งมัธยัสถ์ตัดเยื่อใยไม่โปรดบ้าง ก็จะเห็นแต่กเลวระร่างซากศพของมัทรี อัมโทรมตายกายกลิ้งอยู่กลางดง เสียเป็นมั่นคงนี้แล้วแล
อถมหาสตฺโตสมเด็จพระราชสมภาร  เมื่อได้สดับสารพระมัทรีเธอแสนวิโยคโศกศัลย์สุดกำลัง  ถึงแม้นจะมิตรัสกับนางมั้งจะมิเป็นการ  จำจะเอาโวหารการหึงเข้ามาหักโศกให้เสื่อมลง  จึ่งเอื้อนโองการตรัสประภาษว่า  นนุมทฺทิดูกรนางนาฏ  พระน้องรัก  ภทฺเทเจ้าผู้มีพักตร์อันผุดผ่องเสมือนหนึ่งเอาน้ำทองมาทาบทับประเทืองผิว   ราวกะว่าจะลอยลิ่วเลื่อนลงจากฟ้า  ใครได้เห็นเป็นขวัญตาเต็มจะหลงละลายทุกข์ปลุกเปลื้องอารมณ์ชายให้เชยชื่น   จะนั่งนอนเดินยืนก็ต้องอย่าง  วราโรหาพร้อมด้วยเบญจางคจริตรูปจำเริญ  โฉมประโลมโลกล่อแหลมวิไลลักษณ์  ราชปุตฺตี ประกอบด้วยเชื้อศักดิ์สมมุติวงศ์พงศ์กษัตรา เออก็เมื่อเช้าเจ้าจะเข้าป่าน่าสงสารปานประหนึ่งว่าจะไปมิได้   ทำร้องไห้ฝากลูกมิรู้แล้ว  ครั้นคลาดแคล้วเคลื่อนคล้อยเข้าสู่ดง  ปานประหนึ่งว่าจะหลงลืมลูกสละผัวต่อมืดมัวจึ่งกลับมา  ทำเป็นบีบน้ำตาตีอกว่าลูกหาย  ใครจะไม่รู้แยบคายความคิดหญิง  ถ้าแม้นเจ้าอาลัยอยู่ด้วยลูกจริง ๆ เหมือนวาจา  ก็จะรีบกลับเข้ามาแต่วี่วันไม่ทันรอน เออนี่เจ้าเที่ยวพเนจรนอนตามสนุกใจ  ชมนกชมไม้ในไพรวันสารพันที่จะมี  ทั้งฤๅษีสิทธ์วิทยาธรคนธรรพ์  เทพารักษ์ผู้มีพักตร์อันเจริญ  เห็นแล้วก็น่าเพลิดเพลินไม่เมินได้  หรือเจ้าปะผลไมประหลาด รสสดสุกทรามเสวยไม่เคยกิน  เจ้าฉวยชิมชอบลิ้นก็หลงฉันอยู่จึ่งช้า  อุปมาเสมือนหนึ่งภุมรินบินวะว่อน  เที่ยวซับซาบเอาเกสรสุคนธมาเลศ   พบดอกไม้อันวิเศษต้องประสงค์ หลงเคล้าคลึงรสจนลืมรัง  เข้าเถื่อนเจ้าลืมพร้าได้หน้าแล้วลืมหลังไม่แลเหลียว  เที่ยวทอดประทับมากลางทาง  อันว่าพระนางสิเป็นหน่อกษัตริย์จะไปไหนก็มีแต่กลดกั้น พานจะเกรงแสงสุริยันไม่คลาเคลื่อน เจ้ารักเดินด้วยแสงเดือนชมดาวพลาง  ได้น้ำค้างกลางคืนชื่นอารมณ์สมคะเน พอมาถึงก็ทำเสขึ้นเสียงเลี่ยงเลี้ยวพาโลว่าลูกหาย เออนี่เจ้ามิหมายว่าใคร ๆ ไม่รู้ทันกระนั้นกระมัง  หรือเจ้าเห็นว่าพี่นี้เป็นชีอดจิตคิดอนิจจังทิ้งพยศอดอารมณ์เสีย  เจ้าเป็นเพียงแต่เมียควรหรือมาหมิ่นได้  ถ้าแม้นพี่อยู่ในกรุงไกรเหมือนแต่ก่อนเก่า  หากว่าเจ้าทำเช่นนี้ กายของมัทรีก็จะขาดสะบั้นลงทันตา ด้วยพระกรเบื้องขวาของอาตมานี้แล้วแล
สา  มทฺทีส่วนสมเด็จพระยอดมิ่งเยาวมาลย์มัทรี  เมื่อได้สดับคำพระราชสามีบริภาษณานาง  ที่ความโศกก็เสื่อมสร่างสงบจิตเพราะเจ็บใจ จึ่งก้มพระเศียรลงกราบไหว้แล้ววันทนาพลาง  นางจึ่งทูลสนองพระราชบัญญัติว่า  พระพุทธเจ้าข้า  ควรมิควรสุดแท้แต่จะทรงพระกรุณาโปรดที่โทษานุโทษเป็นล้นเกล้า  ด้วยข้าพระพุทธเจ้ากลับมาเวลาค่ำ  ทั้งนี้เพราะเป็นกระลีขึ้นในไพรวัน  พฤกษาทุกสิ่งสารพันก็แปรปรวนทุกประการ  ทั้งพื้นป่าพระหิมพานต์ก็ผัดผันหวั่นไหวอยู่วิงเวียนเปลี่ยนเป็นพยับมืดไม่เห็นหน  ข้าพระบาทนี่ร้อนรนไม่หยุดหย่อนแต่สักอย่าง  แต่เดินมายังเกิดประหลาดลางขึ้นในกลางพนาลี  พบพญาราชสีห์สองเสือทั้งสามสัตว์สกัดหน้าไม่มาได้  ต่อสิ้นแสงอโณทัยจึ่งได้คลาเคลื่อน ใช่จะเป็นเหมือนพระองค์ดำรินั้นก็หามิได้    พระพุทธเจ้าข้า  ตั้งแต่เกล้ากระหม่อมฉันตกมาเป็นข้าน้อย  พระองค์เห็นพิรุธร่องรอยร้าวรานที่ตรงไหน   ทอดพระเนตรสังเกตไว้แต่ปางก่อน  จึงเคืองค่อนด้วยคำหยาบยอกใจเจ็บจิตเหลือกำลัง  พระคุณเอ่ยจะคิดดูมั่งเป็นไรเล่าว่า  มัทรีนี้เป็นข้าเก่าแต่ก่อนมาดั่งเงาตามพระบาทาก็เหมือนกัน  นอกจากนั้นที่แน่นอนคือ  นางไหนอันสนิทชิดใช้แต่ก่อนกาล  ยังจะติดตามพระราชสมภารมาบ้างละหรือ  ได้แต่มัทรีแสนดื้อผู้เดียวดอก ไม่รู้จักปลิ้นปลอกพลิกไพล่เอาตัวหนี  มัทรีสัตยาสวามิภักดิ์รักผัวเพียงบิดาก็ว่าได้ ถึงจะยากเย็นเข็ญใจก็ตามกรรมวนมูลผลหาริยาอุตสาหะตระตรากตระตรำเตร็ดเตร่หาผลาผลไม้  ถึงที่ไหนจะรกเรี้ยวก็ซอกซอนอุตส่าห์เที่ยวไม่ถอยหลัง จนเนื้อหนังข่วนขาดเป็นริ้วรอย โลหิตไหลย้อยทุกหย่อมหนามอารามจะใคร่  ได้ผลาผลไม้มาปฏิบัติลูกบำรุงผัว  ถึงกระไรจะคุ้มตัวก็ทั้งยากน่าหลากใจ  อกของใครจะอาภัพยับพิกลเหมือนอกของมัทรีไม่มีเนตร  น่าที่จะสงสารสังเวชโปรดปรานีว่ามัทรีนี้เป็นเพื่อนยากอยู่จริง ๆ  ช่างค้อนติงปริภาษณาได้ลงคอไม่คิดเลย  พระคุณเอ่ยถึงพระองค์จะสงสัย ก็น้ำใจของมัทรีนี้กตเวทีเป็นไม้เท้าก้าวเข้าสู่ทางที่ทดแทน  รามํ  สีตาวนุพฺพตาอุปมาแม้นเหมือนสีดาอันภักดีต่อสามีรามบัณฑิต  ปานประหนึ่งว่าศิษย์กับอาจารย์ พระคุณเอ่ยเกล้ากระหม่อมฉานทำผิดแต่เพียงนี้  เพราะว่าล่วงราตรีจึ่งมีโทษ ขอพระองค์จงทรงพระกรุณาโปรดซึ่งโทษานุโทษกระหม่อมฉันมัทรี  แต่ครั้งเดียวนี้เถิด
ฯลฯ
เมื่อสมเด็จพระยอดมิ่งเยาวมาลย์มัทรี กรายทูลพระราชสามีสักเท่าใด ๆ ท้าวเธอจะได้ปราศรัยก็ไม่มี พระนางยิ่งหมองศรีโศกกำสรดสะอึกสะอื้น  ถวายบังคมคืนออกมาเที่ยวแสวงหาพระลูกรักทุกหนแห่ง กระจ่างแจ้งด้วยแสงพระจันทร์ส่องสว่างพื้นอัมพรประเทศวิถี  นางเสด็จจรลีไปหยุดยืนในภาคพื้นปริมณฑลใต้ต้นหว้า    จึ่งตรัสว่า  อิเม เต ชมฺพุกา รุกฺขา ควรจะสงสารเอ่ยด้วยต้นหว้าใหญ่ใกล้อาราม งามด้วยกิ่งก้านประกวดกัน    ใบชอุ่มประชุมช่อเป็นฉัตรชั้นดั่งฉัตรทอง  แสงพระจันทร์ดั้นส่องต้องน้ำค้างที่ขังให้ไหลลงหยดย้อย เหมือนหนึ่งน้ำพลอยพร้อยๆพราย ๆ  ต้องกับแสงกรวดทรายที่ใต้ต้นอร่ามวามวาวดูเป็นวงวนแวว ดั่งบุคคลเอาแก้วมาระแนงแกล้งมาโปรยโรยรอบปริมณฑลก็เหมือนกัน  งามดั่งไม้ปริชาตในเมืองสวรรค์มาปลูกไว้ ลูกรักเจ้าแม่เอ่ย   เจ้าเคยมาอาศัยนั่งนอนประทับร้อนสำราญร่มรื่น ๆ  สำรวลเล่นเย็นสบายพระพายรำเพยพัดมาฉิวเฉื่อยเรไรระรี่เรื่อยร้องอยู่หริ่ง ๆ  แต่ลูกรักของแม่ทั้งชายหญิงไปอยู่ไหนไม่เห็นเลย มหานิโคฺรธชาตํอนิจจาเอ่ยเห็นแต่ไทรทองถัดกันไป  กิ่งก้านใบรากห้อยยื่นระย้า เจ้าเคยมาห้อยโหนโยนชิงช้าชวนกันแกว่งไกว  แล้วเล่นไล่ปิดตาเร้นแทบหลังบริเวณพระอาวาส  อิมา ตา โปกฺขรณีรมฺมา เจ้าเคยมาประพาสสรงสนานในสระศรี  โบกขรณีตำแหน่งนอกพระอาวาส  นางเสด็จลีลาสไปเที่ยวเวียนรอบ  จึ่งตรัสว่าน้ำเอ๋ยเคยมาเปี่ยมขอบเป็นไร จึ่งขอดขุ่นลงหมอง  พระพายเจ้าเอ่ยเคยมาพัดต้องกลีบอุบล  พากลิ่นสุคนธ์ขจรรสมารวยรื่นเป็นไรจึ่งเสื่อมหอมหายชื่นไม่เฉื่อยฉ่ำฝูงปลาเอ๋ยเคยมาผุดคล่ำดำแฝงฟอง  บ้างก็ขึ้นล่องว่ายอยู่ลอยเลื่อยชมแสงเดือนอยู่พราย ๆ   เป็นไรจึ่งไม่ว่ายเวียนวน  นกเจ้าเอ่ยเคยบินลงไล่จิกเหยื่อทุกเวลา วันนี้แปลกเปล่าตาแม่แลไม่เห็น  พระลูกเอ่ยเจ้าเคยมาเที่ยวเล่นแม่แลไม่เห็นแล้ว  โอ้แลเห็นแต่สระแก้วอยู่อ้างว้างวังเวงใจ  นางก็เสด็จครรไลล่วงตำบลเที่ยวค้นหาพระลูกตามลำเนาเนินป่า  ทุกสุ่มทุมพุ่มพฤกษาสูงยูงยางใหญ่ไพรระหง  พนัสแดนดงเย็นยะเยือกเงียบสงัดเหงา  ได้ยินแต่เสียงดุเหว่าละเมอร้องก้องพนาเวศ  พระกรรณเธอสังเกตว่าสองดรุณเยาวเรศเจ้าร้องขานอยู่แว่ว ๆ  ให้หวาดว่าสำเนียงพระลูกแก้วเจ้าขานรับพระมารดา  นางเสด็จลีลาเข้าไปดู  เห็นหมู่สัตว์จตุบาทกลาดกลุ้มเข้าสุมนอน  นางก็ยิ่งสะท้อนถอนพระทัยเทวษครวญเสด็จด่วน ๆ  ดะดุ่มเดินเมิงมุ่งละเมาะไม้มองหมอบ  แต่ย่างเหยียบกรอบก็เหลียวหลัง  พระโสตฟังให้วาดแว่วว่าสำเนียงเสียงพระแก้วเจ้าบ่นอยู่งึม ๆ  พุ่มไม้ครึ้มเป็นเงา ๆ ชะโงกเงื้อม  พระเนตรเธอแลเหลือบให้ลายเลื่อมเป็นรูปคนตะคุ่ม ๆ อยู่คล้าย ๆ แล้วหายไป  สมเด็จอรไทเธอเที่ยวตะโกนกู่กู๋ก้อง  พระพักตร์เธอฟูมฟองนองไปด้วยน้ำพระเนตรเธอโศกา จึ่งตรัสว่าโอ้โอ๋เวลาปานฉะนี้เอ่ยมิดึกดื่น จวนจะสิ้นคืนค่อนรุ่งเสียแล้วกระไรไม่รู้เลย  พระพายรำเพยพัดมารี่เรื่อยอยู่เฉื่อยฉิว  อกแม่นี้ให้อ่อนหิวสุดล่ะห้อย  ทั้งดาวเดือนก็เคลื่อนคล้อยลงลับไม้  สุดที่แม่จะติดตามเจ้าไปในยามนี้ ฝูงลิงค่างบ่างชะนีที่นอนหลับ  ก็กลิ้งกลับเกลือกตัวอยู่ยั้วเยี้ย ทั้งนกหกก็งัวเงียเหงาเงียบทุกรวงรัง แต่แม่เที่ยวเซซังเสาะแสวงทุกแห่งห้องหิมเวศทั่วประเทศทุกราวป่า  สุดสายนัยนาที่แม่จะตามไปเล็งแล  สุดโสตแล้วที่แม่จะซับทราบฟังสำเนียง  สุดสุรเสียงที่แม่จะร่ำเรียกพิไรร้อง  สุดฝีเท้าที่แม่จะเยื่องย่องยกย่างลงเหยียบดิน  ก็สุดสิ้นสุดปัญญาสุดหาสุดค้นเห็นสุดคิด จะได้พานพบประสบรอยพระลูกน้อยแต่สักนิดไม่มีเลย  จึ่งตรัสว่าเจ้าดวงมณฑาทองทั้งคู่ของแม่เอย  หรือว่าเจ้าทิ้งขว้างวางจิตไปเกิดอื่น เหมือนแม่ฝันเมื่อคืนนี้แล้วแล
ภิกฺขเวดูกรสงฆ์ผู้ทรงพรหมจารี เมื่อสมเด็จพระมัทรีกำสรดแสนกัมปนาทเพียงพระสันดานจะขาดจะดับสูญ ปริเทวิตฺวานางเสวยพระอาดูรพูนเทวษในพระอุรา  น้ำพระอัสสุชลนาเธอไหลนองครองพระเนตร    ทรงพระกันแสงแสนเทวษพิไรร่ำ  ตั้งแต่ประถมยามค่ำไม่หย่อนหยุดแต่สักโมงยาม นางเสด็จไต่เต้าติดตามทุกตำบลละเมาะไม้ไพรสณฑ์ศิขริน ทุกห้วยธารละหานหินเหวหุบก้องคูหาวาสทรงพระพิไรร้องก้องประกาศเกริ่นสำเนียง  พระสุรเสียงเธอเยือกเย็นระย่อทุกอกสัตว์  พระพายรำเพยทุกกิ่งก้านบุษบงก็เบิกบานผกากร   รัศมีพระจันทร์ก็มัวหมองเหมือนหนึ่งจะเศร้าโศกแสนวิปโยคเมื่อยามปัจจุสมัย ทั้งรัศมีพระสุริโยทัยส่องอยู่รางๆขึ้นเรืองฟ้า  เสียงชะนีเหนี่ยวไม้ไห้หาละห้อยโหย  พระกำลังนางก็อิดโรยพิไรร่ำร้อง พระสุรเสียงเธอกู่ก้องกังวานดง เทพเจ้าทุกพระองค์กอดพระหัตถ์เงี่ยพระโสตสดับสาร  พระเยาวมาลย์เธอเที่ยวหาพระลูก    พระนางเธอเสวยทุกข์แสนเข็ญ  ตั้งแต่ยามเย็นจนรุ่งเช้าก็สุดสิ้นที่จะเที่ยวค้น  ทุกตำแหน่งแห่งละสามหนเธอเที่ยวหา  ปณฺณรสโยชนมคฺคํถ้าจะคลี่คลายขยายมรคาก็ได้สิบห้าโยชน์โดยนิยม  นางจึ่งเซซังเข้าไปสู่พระอาศรมบังคมบาทพระภัสดา  ประหนึ่งว่าชีวาจะวางวายทำลายล่วง   สองพระกรเธอข้อนทรวงทรงพระกันแสงครวญคร่ำแล้วรำพันว่า  โอ้เจ้าดวงสุริยันจันทรทั้งคู่ของแม่เอ่ย  แม่ไม่รู้เลยว่าเจ้าจะหนีพระมารดาไปสู่พาราใดไม่รู้ที่   หรือว่าข้ามนทีทะเลวนหิมเวศประเทศทิศแดนใด  ถ้ารู้แจ้งประจักษ์ใจแม่ก็จะตามเจ้าไปจนสุดแรง  นี่ก็เหลือที่แม่จะเที่ยวแสวงสืบเสาะหา  เมื่อเช้าแม่จะเข้าไปสู่ป่า พ่อชาลีแม่กัณหายังทูลสั่งแม่ยังกลับหลังมาโลมลูบจูบกระหม่อมจอมเกล้าทั้งสองรา  กลิ่นยังจับนาสาอยู่รวยรื่น  โอ้พระลูกข้านี้จะไม่คืนเสียแล้วกระมังในครั้งนี้   กัณหาชาลีลูกรักแม่  นับวันแต่ว่าจะแลลับล่วงไปเสียแล้วหนอ  ใครจะกอดพระศอเสวยนมผทมด้วยแม่เล่า  ยามเมื่อแม่จะเข้าที่บรรจถรณ์  เจ้าเคียงเรียงหมอนนอนแนบข้างทุกราตรี  แต่แม่นี้จะกล่อมใครให้นิทรา   โอ้แม่อุ้มท้องประคองเคียงเลี้ยงเจ้ามาก็หมายมั่น สำคัญว่าจะได้อยู่เป็นเพื่อนยากจะฝากผีพึ่งลูกทั้งสองคน   มิรู้ว่าจะกลับวิบัติพลัดพรากไม่เป็นผลให้อาเพศผิดประมาณ    เจ้าเอาแต่ห่วงสงสารนี่หรือมาสวมคล้องให้แม่นี้ติดต้องข้องอยู่ด้วยอาลัย  เจ้าทิ้งชื่อและโฉมไว้ให้เปล่าอกในวิญญาณ์เมื่อเช้าแม่จะเข้าไปสู่ป่ายังได้เห็นหน้าเจ้าอยู่หลัด ๆ  ควรและหรือมาสลัดแม่นี้ไว้  เหมือนจะเตือนให้แม่นี้บรรลัยเสียจริงแล้ว ควรจะสงสารเอ่ยด้วยนางแก้วกัลยาณี   น้อมพระเกศีลงทูลถามหวังจะติดตามพระลูกรักทั้งสองรา  กราบถวายบังคมลาลุกเลื่อนเขยื้อนยกพระบาทเยื้องย่าง  พระกายนางให้เสียวสั่นหวั่นไหวไปทั้งองค์  ดุจชายธงอันต้องกำลังลมอยู่ลิ่ว ๆ  สิ้นพระแรงโรยเธอโหยหิวระหวยทรวง  พระศอเธอหงุบง่วงดวงพระพักตร์เธอผิดเผือดให้แปรผัน   จะทูลสั่งก็ยังมิทันที่ว่าจะทูลเลย แต่พอตรัสว่าพระคุณเจ้าเอ๋ยคำเดียวเท่านั้น  ก็หายเสียงเอียงพระกายบ่ายศิโรเพฐน์พระเนตรหลับหับพระโอษฐ์ลงทันทีวิสญฺญีหุตฺวานางถึงวิสัญญีสลบลงตรงหน้าฉาน ปานประหนึ่งว่าพุ่มฉัตรทองอันต้องสายอัสนีฟาดขาดระเนนเอนแล้วก็ล้มลงตรงหน้าพระที่นั่งเจ้า นั้นแล
ฯลฯ
อถมหาสตฺโตปางนั้นสมเด็จพระเวสสันดรอดุลดวงกษัตริย์  ตรัสทอดพระเนตรเห็นพระอัคเรศถึงวิสัญญีภาพสลบลงวันนั้น  พระทัยท้าวเธอสำคัญว่าพระนางเธอวางวายสะดุ้งพระทัยหายว่าโอ้อนิจจามัทรีเจ้าพี่เอ๋ย บุญพี่นี้น้อยแล้วนะเจ้าเพื่อนยาก  เจ้ามาตายจากพี่ไปในวงวัด   เจ้าจะเอาป่าชัฏนี่หรือมาเป็นป่าช้า จะเอาพระบรรณศาลานี่หรือเป็นบริเวณพระเมรุทอง  จะเอาแต่เสียงสาลิกาอันร่ำร้องนั้นหรือมาเป็นกลองประโคมใน     จะเอาแต่เสียงจักจั่นและเรไรอันร่ำร้องนั่นหรือมาต่างแตรสังข์และพิณพาทย์  จะเอาแต่เมฆหมอกในอากาศนั่นหรือมากั่นเป็นเพดาน  จะเอาแต่ยูงยางในป่าพระหิมพานต์มาต่างฉัตรเงินและฉัตรทอง จะเอาแต่แสงพระจันทร์อันผุดผ่องมาต่างประทีปแก้วโอภาส  อนิจจามัทรีเอ่ยมาตายอเนจอนาถไร้ญาติที่กลางดง  ครั้นท้าวเธอค่อยคลายลงที่โศกศัลย์  จึ่งผันพระพักตร์มาพิจารณาก็รู้ว่ายังไม่อาสัญ  จึ่งเข้าไปยังพระคันธกุฎีจับเอาคนทีอันเต็มไปด้วยน้ำมาทันใด ตั้งแต่พระองค์ทรงพระผนวชไพรมาได้ถึงเจ็ดเดือนปลาย จะได้ต้องพระกายนางมัทรีก็หามิได้  เมื่อความทุกข์พ้นวิสัยที่จะกำหนดว่าอาตมะนี้เป็นดาบสฤๅษี  ยกเศียรพระมัทรีขึ้นใส่ตักวักเอาพระวารีมาโสรจสรงลงที่อุระพระมัทรี  หวังว่าจะให้ชุ่มชื่นฟื้นสมปฤๅดีคืนมาแห่งนางพระยา   นั้นแล
ฯลฯ
ภิกฺขเวดูกรภิกษุสงฆ์ผู้ทรงศีลวิสุทธิสิกขา  เมื่อสมเด็จพระมัทรีเธอได้สมปฤาดีคืนมา  นางพระยาเจ้าละอายแก่เทพยาดานัก  ด้วยตัวตัวมานอนอยู่บนตักพระราชสามีมิบังควรอุฏฐาย  จึงอุฏฐาการโดยด่วนเลื่อนพระองค์ลงจากพระราชสามี  พระมัทรีจึ่งทูลถามว่าพระพุทธเจ้าข้า พระลูกรักทั้งสองเราไปอยู่ไหนนะฝ่าพระบาท    ท้าวเธอจึ่งตรัสประภาษว่า  ดูกรเจ้ามัทรี  อันสองกุมารนี้พี่ให้เป็นทานแก่พราหมณ์แต่วันวานนี้แล้ว  พระน้องแก้วเจ้าอย่าโศกศัลย์  จงตั้งจิตของเจ้านั้นให้โสมนัสศรัทธา  ในทางอันก่อกฤดาภินิหารทานบารมี ลจฺฉามปุตตฺชีวนฺตาถ้าเราทั้งสองนี้ยังมีชีวิตสืบไป อันสองกุมารนี้ไซร้  ก็คงจะได้พบกันเป็นมั่นแม่น  ถึงแสนสัตพิธรัตน์เครื่องอลงการซึ่งพระราชทานไปนั้นเราก็จะได้ด้วยพระทัยหวัง   ทชฺชา  สปฺปุริโสทานํมัทรีเอ่ย อันอริยสัตบุรุษเห็นปานดั่งตัวพี่ฉะนั้น   ถึงจะมีข้าวของสักเท่าใด ๆ  ทิสฺวา  ยาจกมาคเต ถ้าเห็นยาจกเข้ามาใกล้ไหว้วอนขอไม่ย่อถ้อในทางทาน  จนแต่ชั้นลูกรักยอดสงสารพี่ยังยกให้เป็นทานได้  อันสองกุมารนี้ไซร้เป็นแต่ทานพาหิรกะภายนอกไม่อิ่มหนำ   พี่จะใคร่ให้อัชฌัติกทานอีกนะเจ้ามัทรี  ถ้าแม้นมีบุคคลผู้ใดปรารถนาเนื้อหนังมังสังโลหิตดวงหทัยนัยนเนตรทั้งซ้ายขวา  พี่ก็จะแหวะผ่าให้เป็นทานไม่ย่อท้อเพียงนี้  มัทรีเอ่ย จงศรัทธาด้วยอนุโมทนาทานในกาลบัดนี้เถิด
สมเด็จพระมัทรีทูลสนองพระโองการว่า  พระพุทธเจ้าข้า  แต่วันวานนี้เหตุไฉนจึ่งทราบเกล้า  ท้าวเธอจึ่งตรัสว่าพระน้องเอ่ย  พี่จะเล่าให้เจ้าฟังก็สุดใจ  ด้วยเจ้ามาแต่ป่ายังเหนื่อยนัก  พี่เห็นว่าความร้อนความรักจะรุกอก  ด้วยสองดรุณทารกเป็นเพื่อนไร้  เจ้ามัทรีเอ่ย  จงผ่องใสอย่าสอดแคล้น  อันสองพระลูกแก้วไปไกลเนตร พระนางจึ่งตรัสว่า พระพุทธเจ้าข้าอันสองกุมารนี้ เกล้ากระหม่อมฉานได้อุตสาหะถนอม    ย่อมพยาบาลบำรุงมา  ขออนุโมทนาด้วยปิยบุตรทานบารมี  ขอให้น้ำพระหฤทัยพระองค์จงผ่องแผ้วอย่ามีมัจฉริยธรรมอกุศล  อย่ามาปะปนในน้ำพระทัยของพระองค์เลย   ท้าวเธอจึ่งตรัสว่าพระน้องเอ่ย  ถ้าพี่มิได้ให้ด้วยเสื่อมใสศรัทธาแท้แล้ว  ที่ไหนเลยแผ่นดินดานจะกัมปนาทหวาดหวั่นไหวจลาจล ท้าวเธอเล่านุสนธิ์มหัศจรรย์  อันมีอยู่ในกัณฑ์กุมารบรรพ  กลับมาเล่าให้พระมัทรีฟังแต่ในกาลหนหลังนี้แล้วแล
สา  มฺทฺทีส่วนสมเด็จพระมัทรีศรีสุนทรบวรราชธิดามหาสมมุติวงศ์วิสุทธิสืบสันดานมา วราโรหา    ทรงพระพักตร์ผิวผ่องดุจเนื้อทองไม่เทียมสี  ยสสฺสินี มีพระเกียรติยศอันโอฬารล้ำเลิศวิไลลักษณ์ยอดกษัตริย์    อันทรงพระศรัทธาโสมนัสนบนิ้วประนมน้อมพระเศียรเคารพทาน  ท้าวเธอก็ก็ชื่นบานบริสุทธิ์ด้วยปิยบุตรมิ่งมกุฎทานอันพิเศษ ฝ่ายฝูงอมรเทเวศทุกวิมานมาศมนเทียรทุกหมู่ไม้  ก็ยิ้มแย้มพระโอษฐ์  ตบพระหัตถ์อยู่ฉาดฉาน  ร้องสาธุการสรรเสริญทานบารมี   ทั้งสมเด็จอมรินทร์เจ้าฟ้าสุราลัยอันเป็นใหญ่ในดาวดึงส์สวรรค์    ก็มาโปรยปรายทิพยบุปผากรอง ทั้งพวงแก้วและพวงทองก็โรยร่วงจากกลีบเมฆกระทำสักการบูชาแก่สมเด็จนางพระยามัทรี  ท้าวเธอทรงกระทำอนุโมทนาทาน เวสสฺสนฺตรสฺสแห่งพระเวสสันดรราชฤๅษีผู้เป็นพระภัสดา  อิติ  เมาะ  อิมินา  ปกาเรนด้วยประการดังนี้แล้วแล(กระทรวงศึกษาธิการ,  ๒๕๕๔: ๒๕ – ๓๔)


















ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น