วันอาทิตย์ที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2559



บทนำ
 ความรู้เบื้องต้นในการวิเคราะห์และวิจารณ์วรรณคดี

การใช้ถ้อยคำโวหารในวรรณคดี
             การสร้างจินตภาพโดยใช้โวหารภาพพจน์ คือ กลวิธีหรือชั้นเชิงที่ผู้แต่งใช้ในการเรียบเรียงถ้อยคำให้มีพลังที่จะสัมผัสอารมณ์ของผู้อ่าน ผู้ฟังจนเกิดความประทับใจและเห็นภาพในจิต โวหารภาพพจน์จะก่อให้เกิดอารมณ์สะเทือนใจได้มากกว่าที่จะใช้ถ้อยคำกล่าวอย่างตรงไปตรงมา ภาพพจน์ มาจากภาษาอังกฤษว่า Figure of Speech ถ้าตีความหมายของคำก็คือคำที่ทำให้เกิดภาพหรือเห็นภาพ ภาพพจน์ จึงหมายถึงคำหรือสำนวนโวหารที่กวีหรือผู้ประพันธ์ใช้เพื่อสร้างมโนภาพให้เกิดขึ้นในจิตใจของผู้อ่านหรือผู้ฟัง

๑. อุปมาคือการเปรียบเทียบสิ่งหนึ่งว่าเหมือนกับอีกสิ่งหนึ่ง คำที่ใช้เชื่อมสิ่งที่เปรียบเทียบ ได้แก่ เหมือน เปรียบ ประดุจ ราว ราวกับ ประหนึ่ง ละมาย เสมอเหมือน ปาน เทียบ เพียง ดัง ดั่ง เพี้ยง พ่าง ปูน เฉก อย่าง กล ดูราว คล้าย เล่ห์ เป็นต้น เช่น
เดือนจรัสโพยมแจ่มฟ้า ผิบได้เห็นหน้า
ลอราชไซร้ดูเดือน ดุจแล
ตาเหมือนตามมฤคมาศ พิศคิ้วพระลอราช
ประดุจแก้วเกาทัณฑ์ ก่งนา
ขึ้นทรงรถทองผ่องพรรณ งามงอนอ่อนฉัน
เฉกนาคราชกำแหง

๒. อุปลักษณ์ เป็นการเปรียบเทียบอีกวิธีหนึ่ง ต่างกับอุปมาตรงที่อุปลักษณ์จะไม่กล่าวโดยตรง ใช้วิธีกล่าวเป็นนัยให้เข้าใจเอาเอง หรือการเปรียบเทียบของสองสิ่งว่าเป็นสิ่งเดียวกันหรือเท่ากันทุกประการ มี  ลักษณะ คือ
๒.๑ ใช้คำ เป็น เท่า คือ ในการเปรียบเทียบ เช่น ลูกเป็นดวงใจของแม่ ปากเล็กเท่ารูเข็ม ปัญญาคือดาบสู้ดัสกร น้ำเงินคือเงินยวง อำมาตย์เป็นบรรทัด 
๒.๒ ใช้คำที่จะเปรียบซ้อนไว้ข้างหน้า เช่น ไฟโทสะ (โทสะเป็นไฟ) ทะเลภูเขา (ภูเขาเป็นทะเล)
๒.๓ ใช้กลุ่มคำนั้นแสดงการเปรียบเทียบ เช่นมโหรีจากราวป่ามาเรื่อยรี่ (เปรียบเสียงธรรมชาติที่ประสานกลมกลืนกันเป็นมโหรีจากราวป่า) พิณฟ้า  ราตรี ธรณีสุโนกเนา (เปรียบเสียงนกร้องเป็นพิณฟ้า)

๓. บุคลาธิษฐาน หรือ บุคคลวัต หรือ บุคคลสมมติ คือภาพพจน์ที่กล่าวถึงสิ่งที่ไม่มีชีวิต ไม่มีวิญญาณเสมือนเป็นสิ่งที่มีชีวิตมีวิญญาณ ผู้ฟ้งหรือผู้อ่านจะมองเห็นภาพเหล่านั้นเคลื่อนไหวทำกิริยาเหมือนคน มีอารมณ์ มีความรู้สึก มี  ลักษณะ คือ
๓.๑ การใช้คำกริยาของคนกับสิ่งที่ไม่ใช่คน เช่น 
ป่าห่มเสื้อสีเขียวขจีอย่างมีมนตร์
ฟ้าร้องไห้ 
คลื่นกระทบฝั่ง 
ทะเลครวญ 
ดวงตะวันยิ้มพรายทักทายโลก
๓.๒ การสร้างให้นามธรรม หรือธรรมชาติเป็นบุคคล เช่น
ธรรมะ สร้างเป็น ธรรมเทวบุตร
ฟ้าแลบ สร้างเป็น เมขลาล่อแก้ว
ข้าว สร้างเป็น แม่โพสพ
แผ่นดิน สร้างเป็น แม่พระธรณี


๓.๓ การสร้างตัวละครในนิทานที่เป็นสัตว์ พืช วัตถุ ให้มีความนึกคิดและแสดงบทบาทคล้ายคน เช่น 
นี่ท่านมาแต่ไหนทำไมเล่า มาไล่ถามพวกเราช่างน่าขำ
มีป่าเขาลำเนาไหนที่ทรงธรรม มิเคยดำเนินผ่านท่านตอบที

๔. สัญลักษณ์ คือการใช้สิ่งหนึ่งแทนอีกสิ่งหนึ่งเนื่องจากมีคุณสมบัติร่วมกันหรือเกี่ยวข้องกัน 
ไม้กางเขน เป็นสัญลักษณ์แทน ศาสนาคริสต์ 
ดอกประดู่ เป็นสัญลักษณ์แทน ทหารเรือ
น้ำค้าง เป็นสัญลักษณ์แทน ความบริสุทธิ์
นกพิราบ เป็นสัญลักษณ์แทน สันติภาพ
สีขาว เป็นสัญลักษณ์แทน ความบริสุทธิ์
หงส์ เป็นสัญลักษณ์แทน คนสูงศักดิ์

๕. อติพจน์ คือการกล่าวเกินจริงเพื่อเน้นความรู้สึก มิใช่การกล่าวเท็จ เช่น
น้ำตาแม่ตกริน หยาดหนึ่ง
อาจลวกใจลูกเสี้ยน โล่งล้านเลือนทะนง
(คำประพันธ์นี้ต้องการเน้นให้เห็นความสำคัญของน้ำตาแม่ที่มีต่อจิตใจลูก)
๖. อธิพจน์ คือการกล่าวเชิงโอ้อวด โดยมีเจตนาให้รู้สึกขัน เช่น
พี่ก็ทรงศักดากล้าหาญ แต่ข้าวสารเต็มกระบุงยังยกไหว
ปลาแห้งพี่เอาเข้าเผาไฟ ประเดี๋ยวใจเคี้ยวเล่นออกเป็นจุณ
(บางตำราอติพจน์และอธิพจน์มีความหมายเหมือนกันโดยใช้ชื่อ อธิพจน์)

 ๗. ปฏิพากย์ หรือ ปฏิวาหะ หรือวิภาษ คือการใช้คำที่มีความหมายขัดแย้งกันนำมาเข้าคู่กันได้อย่างกลมกลืน ทั้งนี้เพื่อสร้างอารมณ์สะเทือนใจ และให้สารลึกซึ้งกินใจ เช่น
เสียงน้ำซึ่งกระซิบสาดปราศจากเสียง (เสียง กับ ปราศจากเสียง เป็นปฏิพากย์กัน)
ไฟฟ้าสว่าง แต่ลูกรู้สึกมืดจนน่าใจหาย (สว่าง กับ มืด เป็นปฏิพากย์กัน)
ความขมขื่นอันหวานชื่น (ขมขื่น กับ หวานชื่น เป็นปฏิพากย์กัน )
ยิ่งเย็นเยียบยิ่งเดือดมิรู้ดับ (เย็นเยียบ กับ เดือด เป็นปฏิพากย์กัน)
หมายเหตุ คำซ้อนเพื่อความหมายที่นำคำที่มีความหมายตรงกันข้ามกันมาซ้อนเช่น ยินดียินร้าย ล้มลุก สุกดิบ คู่คี่ ตัดต่อ ก็จัดอยู่ในลักษณะภาพพจน์เชิงปฏิพากย์
๘. ปฎิภาคพจน์ หรือ อรรถวิภาษ หรือ ปฎิพจน์ คือการใช้ข้อความที่มีความหมายขัดแย้งกัน ไม่น่าเป็นไปได้ แต่ก็เป็นไปแล้ว เป็นสิ่งที่แปลกแต่จริง นำมากล่าวอย่างกลมกลืน คล้องจอง ทำให้ได้ความหมายกินใจลึกซึ้ง ภาพพจน์ประเภทนี้ผู้อ่านจะต้องวิเคราะห์ความหมายให้ลึกซึ้งลงไปจึงจะได้อรรถรสและเห็นความงาม เพาะส่วนใหญ่มักจะออกไปในทำนองแนวคิดหรือปรัชญา เช่น
น้ำร้อนปลาเป็น น้ำเย็นปลาตาย
เสียน้อยเสียยาก เสียมากเสียง่าย
รักยาวให้บั่น รักสั้นให้ต่อ
ยิ่งมีกรรมการมาก งานยิ่งช้า
ยิ่งมียิ่งได้ยิ่งไร้ยิ่งแคลน 
ที่ใช้ในลักษณะที่เป็นคำคะนองก็มี เช่น เลวบริสุทธิ์ บาปบริสุทธิ์ สวยเป็นบ้า ไฉไลเป็นบ้า สวรรค์บนดิน เป็นต้น
๙. สัทพจน์ คือการใช้คำเลียนเสียง นอกจากจะใช้ศิลปะการแต่งแล้ว ยังจัดเป็นโวหารภาพพจน์ด้วย เพราะใช้คำเลียนเสียงแทนสิ่งนั้น แนะให้เห็นภาพของสิ่งนั้นได้ เช่น ใช้เสียงเห่งงหง่าง แทนระฆัง แนะให้เห็นภาพของระฆังได้ และสัทพจน์นั้นอาจหมายถึง การใช้คำที่มีเสียงบ่งถึงสี แสง ท่าทางเป็นต้น ได้ด้วย เช่น
“บัดเดี๋ยวดังหง่างเหง่งวังเวงแว่ว สะดุ้งแล้วเหลียวแลชะแง้หา”
“แอดออดออดแอดแอดออด ไผ่สอดพลอดซอพ้อส่ง”
“ป๊ะโท่นป๊ะโท่นป๊ะโท่นโท่น บุรุษสิโอนสะเอวไหว”
“ปวงประชาราษฎร์อาเพศ เปรตกู่ก้องร้องตะเบิม
กระหายเหิมแลบลิ้นอยู่ วะวาบวะวาบ
แสยะเขี้ยวเขียวปลาบอยู่ วะวับวะวับ”
(วะวาบวะวาบวะวับวะวับ เป็นทั้งสัทพจน์ และอัพภาส )
๑๐. ปฎิปุจฉา คือการใช้คำถามที่รู้คำตอบอยู่แล้ว หรือไม่หวังคำตอบ เพราะผู้ถามต้องการเรียกร้องความสนใจมากว่าคำตอบ หรือถ้าจะมีคำตอบก็มักจะเป็นตอบปฏิเสธ เช่น
“ลงกาเป็นสองเมืองหรือ ให้น้องแล้วจะรื้อมาให้พี่”
“ฝนแล้งอย่างนี้ชาวนาชาวไร่จะทำอย่างไรกัน”
“หากสยามพินาศลง ไทยอยู่ ได้หรือ”
“เจ้าเกิดมาเหมือนหนึ่งจะแกล้งฆ่า มันไม่น่ายินดีสักนิด
จะเลี้ยงดูอย่างไรในไพรชิด คิดคิดก็กำสรวลสลดใจ”
๑๑.นามนัย คือการกล่าวถึงชื่อสิ่งหนึ่งให้มีความหมายเป็นอย่างหนึ่ง 
๑๑.๑ การกล่าวถึงชื่อคน แต่หมายถึงผลงานของเขา เช่น
ฉันชอบหม่อมราโชทัยเท่า ๆกับสุนทรภู่
(หมายความว่า ฉันชอบผลงานของหม่อมราโชทัยเท่า  กับของสุนทรภู่)

 ๑๑.๒ การกล่าวถึงชื่อสถานที่แต่หมายถึงคนที่อยู่ที่นั่น เช่น
ไม่มีคำตอบจากจุฬา
(หมายความว่า ไม่มีคำตอบจากนิสิตหรืออาจารย์จากจุฬา)
๑๑.๓ การกล่าวถึงผลิตภัณฑ์หรือวัตถุแต่หมายถึงผลิตภัณฑ์ประเภทเดียวกันหรือหมายถึงสิ่งอื่นเช่น
อาภัสราเคยกระชากมงกุฎนางงามจักรวาล
(หมายความว่า อาภัสราเคยได้รับตำแหน่งนางามจักรวาล)
๑๑.๔ การพูดหรือเขียนอย่างหนึ่งแต่ให้มีความหมายเป็นอย่างหนึ่ง เช่น
เขาถูกรุมกินโต๊ะ
(หมายถึง เขาถูกทำร้ายหรือโจมตี)
๑๑.๕ การใช้คุณสมบัติเด่นๆ ส่วนหนึ่งเพื่อให้มีความหมายคลุมหมดทุกส่วน หรือใช้ชื่อส่วนประกอบเด่นของสิ่งใดสิ่งหนึ่งแทนสิ่งนั้นทั้งหมด
เป็นหูเป็นตา หมายถึง คนช่วยดูแล
ศึกฟาดแข้ง หมายถึง การแข่งขันฟุตบอล
รอยย่นที่ขอบตา หมายถึง ความชรา ความร่วงโรยของร่างกาย
๑๒.การกล่าวเย้ยหรือกล่าวประชด มีลักษณะเป็นการกล่าวประชดประชัน เยาะเย้ยไปจนถึงแดกดัน และเหยียดหยามเป็นขั้นที่สุด โดยไม่กล่าวตรงไปตรงมา แต่ใช้วิธีการพูดให้ผู้ฟังเข้าใจความหมายที่แท้จริงเอาเอง เช่น
แม้นเจ้าคร้ามเคราะห์กาจ จงอย่ายาตรยุทธนา
เอาพัสตราสตรี สวมอินทรีย์สร่างเคราะห์

 ๑๓. การลดความหมายของคำ คือการใช้ถ้อยคำอื่นแทนคำที่มีความหมายรุนแรงหรืออาจกระทบกระเทือนใจได้ เป็นการเลี้ยงน้ำใจผู้ฟังให้มีความสุขสดชื่น ถือเป็นความสุภาพโดยใช้ภาษาเป็นสื่อได้ เช่น
สตรีสูงอายุ ใช้แทน หญิงแก่
ผู้สูงอายุ ใช้แทน คนชรา
ฉันไม่ค่อยชอบ ใช้แทน ฉันเกลียดเขา
เธอสุขภาพดีขึ้น ใช้แทน เธออ้วน
เธอขยันน้อยไปหน่อย ใช้แทน เธอขี้เกียจมาก
เขาไม่ชอบจ่ายเงิน ใช้แทน เขาขี้เหนียว
(ภาษาไทยวีรยุทธ๒๕๕๘. http://pasathaiweerayut.blogspot.com/2012/08/blog-post.html)

รสทางวรรณคดีไทย 
รสทางวรรณคดีที่มีอยู่ ๔ ชนิด คือ เสาวรจนี นารีปราโมทย์ พิโรธวาทัง สัลลาปังคพิไสย 
๑. เสาวรจนี (เสาว ว. ดี, งาม. + รจนี ก. ตกแต่ง, ประพันธ์; ว. งาม) รสนี้เป็นการชมความงาม ชมโฉม พร่ำพรรณนาและบรรยายถึงความงามแห่งนาง ทั้งตามขนบกวีเก่าก่อนแลในแบบฉบับส่วนตัว ตัวอย่างเช่น
...หนุ่มน้อยโสภาน่าเสียดาย ควรจะนับว่าชายโฉมยง 
ทนต์แดงดั่งแสงทับทิม เพริศพริ้มเพรารับกับขนง 
เกศาปลายงอนงามทรง เอวองค์สารพัดไม่ขัดตา... 
จากบทข้างต้น เป็นการกล่าวชมรูปโฉมของวิหยาสะกำ ซึ่งถูกสังคามาระตาสังหาร กล่าวว่าวิหยาสะกำนั้น เป็นชายหนุ่มรูปงาม ฟันนั้นเป็นแสงแวววาวสีแดงราวกับแสงของทับทิม ซึ่งตัดรับกับคิ้ว รวมทั้งปลายเส้นผมซึ่งงอนงามขึ้นเป็นทรงสวยงาม รับกับทรวดทรงองค์เอวของวิหยาสะกำ 

๒. นารีปราโมทย์ (นารี น. หญิง + ปราโมทย์ น. ความบันเทิงใจ, ความปลื้มใจ, ปราโมช ก็ว่า) คือ การทำให้ “นารี” นั้น ปลื้ม “ปราโมทย์” ซึ่งรูปแบบหนี่งก็คือ การแสดงความรักผ่านการเกี้ยวแลโอ้โลมปฏิโลม. อันคำว่า “โอ้โลมปฏิโลม” นี้ ความหมายอันแท้จริงของคำก็คือ การใช้มือลูบไปตาม (โอ้) แนวขน (โลมา) และย้อน (ปฏิ) ขนขึ้นมา เมื่อโอ้โลมไปมา ในเบื้องปลาย นารีก็จักปรีดาปราโมทย์ ในตอนที่ศึกษา มีเพียงแค่ตอนที่อิเหนากำลังสั่งลาจากนางจินตะหรา ซึ่งเมื่ออ่านดูแล้วบางทีอาจจะไม่ถึงกับเป็นการโอ้โลมปฏิโลมเท่าใดนัก เพียงจะจัดไว้ ณ ที่นี้ เนื่องเพราะเป็นบทที่แสดงถึงความรัก กล่าวคือ
เมื่อนั้น พระสุริย์วงศ์เทวัญอสัญหยา 
โลมนางพลางกล่าววาจา จงผินมาพาทีกับพี่ชาย 
ซึ่งสัญญาว่าไว้กับนวลน้อง จะคงครองไมตรีไม่หนีหน่าย 
มิได้แกล้งกลอกกลับอภิปราย อย่าสงกาว่าจะวายคลายรัก
จากบทข้างต้น ก็คือบทที่อิเหนาได้บอกกล่าวกับจินตะหรา ว่าตนไปก็คงไปเพียงไม่นาน ขอจินตะหราอย่าร้องไห้โศกเศร้าเลย
๓. พิโรธวาทัง (พิโรธ ก. โกรธเกรี้ยว ไม่สบอารามณ์ + วาทัง น. วาทะ คำพูด) คือการแสดงความโกธรแค้นผ่านการใช้คำตัดพ้อต่อว่าให้สาใจ ทั้งยังสำแดงความน้อยเนื้อต่ำใจ, ความผิดหวัง, ความแค้นคับอับจิต แลความโกรธกริ้ว ตามออกมาด้วย เหมือนกล้วยกับเปลือก. กวีมักตัดพ้อและประชดประเทียดเสียดแลสี เจ็บดังฝีกลางกระดองใจ อ่านสนุกดีไซร้แฮ!
ตัวอย่างของรสพิโรธวาทังนี้ก็มีอยู่มากมาย ที่จะยกขึ้นมาเป็นตัวอย่างก็จะมี 
เมื่อนั้น พระผู้ผ่านไอศูรย์สูงส่ง
ประกาศิตสีหนาทอาจอง จะณรงค์สงครามก็ตามใจ 
ตรัสพลางย่างเยื้องยุรยาตร จากอาสน์แท่นทองผ่องใส 
พนักงานปิดม่านทันใด เสด็จเข้าข้างในฉับพลันฯ 
ในบทที่ยกมานี้ เป็นตอนที่ท้าวดาหาได้ฟังความจากราชทูตของเมืองกะหมังกุหนิง ที่กล่าวไว้ว่าถ้าท้าวดาหาไม่ยอมยกบุษบาให้กับวิหยาสะกำ ก็ขอให้เตรียมบ้านเมืองไว้ให้ดี เพราะเมือง กะหมังกุหนิงจะยกทัพมารบ เมื่อท้าวดาหาได้ฟังก็โกรธเดือดดาลทันใด จึงบอกไปว่าจะมารบก็มา แล้วก็ลุกออกไปทันที 

 ๔. สัลลาปังคพิไสย (สัลล น. ความโศกโศกาเศร้าร่ำน้ำตานอง, ความเจ็บปวดแปลบ ๆ แลบแล่นในเนื้อใจ, การครวญคร่ำรำพันรำพึง / สัลลาป น. การพูดจากัน + องค์ น. บท, ชิ้น อัน, ตัว + พิไสย น. ความสามารถ ฤาจะแผลงมาจาก วิสัย ซึ่งแปลว่า ธรรมชาติของสิ่งนั้น ๆ ฤาสันดาน ก็อาจเป็นได้) คือ การโอดคร่ำครวญ หรือบทโศกอันว่าด้วยการจากพรากสิ่งอันเป็นที่รัก. มีใช้ให้เกลื่อนกล่นไปในบรรดานิราศ (ก. ไปจาก, ระเหระหน, ปราศจาก, ปราศจากความหวัง, ไม่มีความต้องการ, หมดอยาก, เฉยอยู่) เนื่องเพราะกวี อันมีท่านสุนทรภู่นำเริ่ดบรรเจิดรัศมีอยู่ที่หน้าขบวน จำต้องจรจากนางอันเป็นที่รัก อกจึงหนักแลครวญคร่ำจำนรรจ์ ประหนึ่งหายห่างกันไปครึ่งชีวิต ในตอนนี้ก็มีเช่นกัน เป็นบทที่อิเหนากำลังชมนกชมไม้ระหว่างจะไปดาหา 
ว่าพลางทางชมคณานก โผนผกจับไม้อึงมี่ 
เบญจวรรณจับวัลย์ชาลี เหมือนวันพี่ไกลสามสุดามา 
นางนวลจับนางนวลนอน เหมือนพี่แนบนวลสมรจินตะหรา 
จากพรากจับจากจำนรรจา เหมือนจากนางสการะวาตี 
แขกเต้าจับเต่าร้างร้อง เหมือนร้างห้องมาหยารัศมี 
นกแก้วจับแก้วพาที เหมือนแก้วพี่ทั้งสามสั่งความมา 
ฯลฯ 
จากบทข้างบน จะเห็นได้ว่าอิเหนากำลังโศกเศร้าอย่างหนัก จะเรียกว่าอยู่ในขั้นโคม่าเลยก็ว่าได้ เพราะไม่ว่าจะมองอะไร ก็นึกถึงแต่นาง ทั้งสามที่ตนรัก อันได้แก่ จินตะหรา มาหยารัศมี และสการะวาตี มองสิ่งใด ก็สามารถเชื่อมโยงกับนางทั้งสามได้หมด(บอร์ดแห่งการศึกษา๒๕๕๘. http://forum.02dual.com/index.php?topic=165.0) 


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น