วันอาทิตย์ที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

ถอดความจากเนื้อเรื่อง



ถอดความจากเนื้อเรื่อง

เวลานั้นพระนางมัทรีได้ทรงเข้าไปหาผลไม้ในป่า ก็ทรงหวั่นกลัว เมื่อเห็นธรรมชาติผิดปกติไป ก็ทรงคิดถึงลูกทั้งสอง เดินไปก็เศร้าไปร้องไห้ไป พอดูผลไม้ในป่าจากที่เคยมีลูกก็มีแต่ดอก ทั้งดอกไม้ที่พระนางเคยร้อยไปฝากลูกทั้งสอง ท้องฟ้าก็แดงเป็นสายเลือด มืดหมดทั้งแปดทิศ ผลไม้ก็ยังมาหล่นจากมือ ยิ่งผิดสังเกตเลยรีบก้าวเท้าเดินโดยเร็ว มาถึงกลางทางก็ดันมาเจอสัตว์ทั้งสามตัว คือ พญาราชสีห์ พญาเสือเหลือง และพญาเสือโคร่ง  ยิ่งร้องไห้ รอเวลาก็คิดว่าป่านี้ลุกคงคอย หากจะเดินไปทางอื่นก็ไกลมาก มีทั้งขอนไม้ ก้อนหินมากมาย เลยกราบไหว้อ้อนวอนขอทางกลับ แล้วจะแบ่งผลไม้ให้สักครึ่ง
เทพทั้งสามที่แปลงกายมาเมื่อได้ฟังแล้วก็เห็นพระนางร้องไห้น้ำตาเต็มไปทั้งสองตาก็หลีกทางให้ พระนางรีบวิ่งไปแล้วร้องไห้ไปไม่ยอมหยุด สักพักก็ถึงอาศรม ถึงที่ที่ลูกทั้งสองเคยเล่นกันก็ไม่เห็น ใจเริ่มเริ่มหวั่นเรียกหาก็ไม่มี พระนางทรงพรรณนาถึงความหลังมากมายถึงลูกทั้งสอง คิดว่าลูกจะสิ้นใจไปเสียแล้ว
เมื่อตรัสถามพระเวสสันดรก็พูดไม่ใยดีแต่สักนิด คิดว่าคบชายอื่นแต่พระนางก็ไม่ถือโกรธเพราะทั้งลูกและสามีล้วนเป็นเพื่อนร่วมในยามยาก แต่กราบทูลเท่าไรพระสามีก็ไม่ฟัง ไม่ตรัสตอบแต่คำเดียว จึงยิ่งทำให้พระนางมัทรียิ่งกลุ้มใจยิ่งขึ้น พระนางหนักใจเหลือเกิน เหมือนคนเอาเหล็กแดงมาแทงใจให้เจ็บใจจนทนไม่ได้ ทั้งลูกก็หายไปแม่แทบทนไม่ไหว หากพระเวสสันดรไม่ใยดี เห็นว่าพระนางคงจะสิ้นใจอยู่ในป่านี้แล้ว
เมื่อพระเวสสันดรทรงได้ฟังพระนางมัทรีแล้ว จึงรีบคิดหาวิธีดับโศกให้ ว่าพระนางมีพักตร์อันผุดผ่องเสมือนเอาน้ำทองเข้ามาทาบทับผิว เหมือนเป็นนางฟ้าลงมา ใครเห็นก็อยากจะชื่นชม พระองค์เลยเลยพูดกล่าวโทษว่าไปลอบคบชายอื่น แล้วยังมามารยา เมื่อตอนเช้าก่อนจะไปยังทำเป็นห่วงใยลูกไม่อยากจาก แต่ไปซะนานเพิ่งจะกลับมาเอาปานนี้ หรือจะไปติดใจผลไม้ดีๆ แล้วลืมลูกลืมสามี ช่างไม่รู้จริงๆ กับใจหญิง หากเป็นเหมือนเมื่อก่อนนั้นตอนที่เป็นกษัตริย์ พระนางก็คงไม่มีชีวิตอยู่ เพราะพระองค์จะสั่งประหาร ร่างกายก็ขาดสบั้นไปทันตาแล้ว
ส่วนพระนางมัทรีเมื่อได้ฟังคำพระเวสสันดรก็ทรงเจ็บใจและหายทุกข์โศกลงบ้าง แล้วก้มกราบบังคมทูลพระเวสสันดรว่าที่พระนางมาช้าเพราะว่า ภายในป่าทั้งผลไม้ต้นไม้ พืชพรรณนานาชนิดมันแปรปรวนหมด ทั้งป่ามืดทั้งแปดทิศ พระนางก็รีบวิ่งไม่หยุดหย่อน แต่ก็มาเจอสัตว์ราชสีห์ และเสืออีกสองตัว กัดไว้ จนเวลาตะวันตกดินแล้วจึงมาได้พระนางพยายามอธิบายและแสดงความจงรักภักดีต่อพระเวสสันดร ว่าพระนางเป็นเพื่อนยากให้พระองค์มาตลอดแล้วเห็นตรงไหนที่ผิดสังเกตบ้าง เมื่อไม่ว่าจะทุกข์ยากยังไงก็ทนหาผลไม้ เข้าไปในป่าก็โดนขุดขวนจนเป็นริ้วรอยเลือดไหล พระนางทรงรักสามีเหมือนดังบิดาของตน ไม่เคยคิดที่จะนอกใจ ด้วยพระคุณพระกรุณาให้พระเวสสันดรทรงให้อภัยความผิดครั้งนี้ของนางด้วย
เมื่อพระนางมัทรีทรงกราบทูลไปแล้วพระเวสสันดรก็ยังนิ่งเฉยไม่กล่าวอะไร พระนางจึงออกอาการเศร้าโศกยิ่งสะอึกสะอื้น และกราบบังคมออกมาเที่ยวตามหาพระกุมารทั้งสองตามสถานที่ต่างๆ รำลึกถึงความหลังเมื่อถึงสถานที่ตรงที่พระกุมารทั้งสองเคยเล่นกัน  ยิ่งมองในน้ำก็มีแต่น้ำขุ่น มองป่าก็จากที่เคยดำผุดดำว่ายอยู่ก็ไม่มี นกที่เคยบินลงจิกอาหารก็ไม่เห็น ทุกอย่างแปลกตาแปรปรวนไปทุกอย่างยิ่งทำให้ใจหาย ออกตามหาต่อเมื่อได้ยินเสียงอะไรก็คิดว่าเป็นเสียงพระกุมารทั้งสอง มองเห็นอะไรตะคุ่มๆ ก็คิดว่าจะเป็นพระกุมารทั้งสอง ทุกอย่างรอบกายที่ได้ยินได้เห็นก็คิดว่าจะเป็นลุกทั้งสอง จึงกล่าวว่า เวลาปานนี้จะดึกดื่น จนจะรุ่งแล้วก็ไม่รู้เลย ลมพัดเรื่อยๆอกแม่เองก้อ่อนล้า ทั้งดาวเดือนก็ลับกิ่งไม้ลง ฝูงลิงฝูงค้างก็เที่ยวกลับเกลือกอยู่มากมาย นกก็เงียบไปทุกรัง แต่ตัวแม่ยังคงเที่ยวตามหาลูกอยู่ในป่าทุกหนแห่ง สุดแล้วสายตาที่แม่จะตามลูกไปดูแล สุดที่จะได้ยินเสียง สุดปัญญาสุดค้นหาสุดที่จะคิดแล้วที่แม่จะได้พบลูกน้อยแต่รอยสักนิดก็ไม่มี ลูกทั้งสองเจ้าเอ๋ย หรือว่าเจ้าทั้งสองจะสิ้นเสียแล้วเหมือนดังที่แม่ได้ฝันเมื่อคืน
เมื่อพระนางมัทรีทรงตามหาแล้วจนทั่วแห่งละ ๓ หน ก็ยังไม่เจอ ทรงหมดเรี่ยวแรง และเมื่อกลับมาที่อาศรมก็เหมือนจะสิ้นใจลงตรงนั้น ทรงพรรณนาถึงลุกทั้งสอง ทรงร้องไห้น้ำตานองหน้าตลอดตั้งแต่ตามหาก็ยังไม่หยุด คร่ำครวญร้องไห้ หากว่าพระนางรู้ว่าลูกอยู่หนแห่งใดก็จะไปตามหาหรือลูกจะข้ามน้ำทะเลไปเขตแคว้นอื่นแล้ว หากแม่รู้แม่จะไปตามลูกด้วยเรี่ยวแรงที่เหลือ เมื่อตอนเช้าแม่ยังได้กอดจูบลูกอยู่แต้ตอนนี้ไม่เห็นเสียแล้ว ยามลูกทั้งสองอยู่แม่กล่อมเจ้าแล้วต่อแต่นี้แม่จะกล่อมใครให้นิทรา แม่คิดว่าเจ้าจะได้เป็นเพื่อนยากกันยามหน้าแม่จะได้ฝากผีพึ่งลูกทั้งสองคน แต่เจ้าก็ทิ้งแค่ชื่อไว้ให้เปล่าออก แล้วสมควรหรือไงที่มาสลัดทิ้งแม่ไปให้แม่ต้องเสียใจ และจะสิ้นใจเสียให้ เลยกราบบังคมทูลน้อมศีรษะลงต่อพระเวสสันดรเพื่อที่จะได้รู้ แล้วกราบบังคมลาเมื่อเท้าย่องย่างก็ไม่ไหวต่อร่างกายที่อ่อนล้า ร่างกายหน้าตาง่วงงอให้พระนางไม่ไหวไม่ทันได้บังคมทูล พอพูดพระคุณเจ้าเอ๋ยแค่คำเดียวเท่านั้นก็ไม่มีเสียง ตาหลับร่างลงสลบตรงหน้าพระเวสสันดร ดั่งพุ่มฉัตรทองถูกสายอัสนีฟาดลงระเนนเอนแล้วก็ล้มลงตรงหน้าพระที่นั่งพระเวสสันดรทันที
เวลานั้นพระเวสสันดรก็ทรงทอดพระเนตรเห็นพระนางมัทรีสลบไปก็คิดว่าพระนางจะสิ้นใจแล้ว จึงพรรณนาว่า บุญของพี่นี้น้อยนักเพื่อนยาก เจ้ามาตายจากพี่ไปภายในวัด เจ้าจะเอาป่าแห่งนี้เป็นป่าช้า จะเอาอาศรมหลังนี้หรือเป็นบริเวณเมรุทอง จะเอาเสียงสาริดร่ำร้องเสียงจักจั่นและเรไรอันร่ำร้องหรือมาเป็นกลองประโคมใน และแตรสังข์เป็นพิณพาทย์ จะเอาเมฆหมอกเป็นเพดาน จะเอายุ่งในป่าหรือมาแต่งฉัตรเงินและฉัตรทอง แล้วจะเอาแสงพระจันทร์หรือมาเป็นแสงไฟประดับ ช่างน่านิจจามัทรีมาตายไร้ญาติอยู่ในป่า เมื่อได้ตั้งสติลดโศกเศร้าจึงพิจารณาก็รู้ว่ายังไม่สิ้น จึงเอาผ้ากับน้ำมาประคบเพื่อให้ฟื้น ยกศีรษะพระนางตั้งบนตัก แล้วประคบเพื่อให้นางฟื้นตื่นขึ้นมา

เมื่อพระนางมัทรีตื่นขึ้นมาเห็นตนนอนอยู่บนตักพระเวสสันดร ก็เห็นว่ามิควร เลยรีบลุกแล้วถัดลงไป ก็ทรงทูลถามพระเวสสันดรต่อว่าลูกทั้งสองอยู่ที่ไหน พระองค์ทรงเล่าให้ฟังว่า ได้ให้ทานแก่พราหมณ์เมื่อวานนี้แล้ว ขอให้พระนางจงอย่าโศกเศร้าไปเลย ให้ศรัทธาในการทำทานครั้งนี้ หากเรายังมีชีวิตอยู่ต้องได้เจอกันสักวัน พระองค์จะต้องให้ผู้ที่มาขอ ถึงแม้จะมีผู้มาขอเนื้อหนัง เลือด หรือจะเป็นดวงตา พระองค์พร้อมที่จะให้ และถ้าหากพระองค์มีเงินทองมากมาย หากมียาจกมาไหว้วอนขอก็จะให้เช่นกัน มัทรีจงช่วยอนุโมทนาทานในครั้งนี้ด้วย
พระนางมัทรีทรงถามว่า เมื่อวานนี้ทำไมพระองค์ไม่บอกให้รู้ พระเวสสันดรจึงตอบว่า หากจะเล่าให้พระนางฟังก็สุดใจมาจากป่าไกลยังเหนื่อยอยู่ และด้วยความรักร้อนรนที่มีต่อลูก ที่ลูกทั้งสองไปไกลตา พระนางมัทรีเลยพูดต่อว่า พระกุมารทั้งสองคนพระนางอุตสาถนอม เลี้ยงดูมา ก็ขออนุโมทนาด้วยปิยบุตรทานบารมีด้วย ขอให้น้ำพระทัยพระองค์จงผ่องแผ้วอย่ามีมัจฉริยธรรมอกุศลอย่าปนในน้ำพระทัยของพระองค์

ลักษณะตัวละคร
  ตัวละครสำคัญได้แก่
พระเวสสันดร
๑. ทรงเชื่อฟังพระบิดา ยอมถูกเนรเทศออกจากบ้านเมืองมาอยู่ป่า  ทั้งยังเป็นผู้ที่มีน้ำพระทัยเด็ดเดี่ยว พระองค์ทรงบำเพ็ญบุตรทานบารมีด้วยการบริจาคพระกัณหาและพระชาลีเพราะความมุ่งหวังโพธิญาณที่จะยังสรรพสัตว์ให้สามารถข้ามวัฏสังสาร (การเวียนว่ายตายเกิด)ไปให้ได้
๒. ทรงเป็นผู้ที่มีไหวพริบปฏิภาณดีแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้อย่างรวดเร็ว อีกทั้งมีจิตวิทยาที่ดีเลิศ พิจารณาได้จากการที่พระองค์พยายามเบี่ยงเบนความโศกเศร้าของพระนางมัทรีด้วยการกล่าวบริภาษอย่างรุนแรง เพื่อให้พระนางมัทรีคลายความเศร้าโศกลง
พระนางมัทรี
๑. ทรงเป็นผู้มีจิตเลื่อมใสศรัทธาเข้าใจการบริจาคทานของพระเวสสันดรพระนางมัทรียังอนุโมทนากับการบริจาคทานครั้งนี้อีกด้วย
๒. ทรงเป็นผู้มีความรัก ความจงรักภักดี และกตัญญูต่อพระเวสสันดรผู้เป็นพระสวามี โดยเห็นได้จากการที่ทรงตามเสด็จออกมาทนทุกข์ยากลำบากอยู่ในป่าด้วย ยอมเป็นผู้หาอาหารในป่าด้วยตนเอง เพื่อปรนนิบัติพระสวามีและพระโอรสธิดาโดยตลอด เป็นเวลากว่าเจ็ดเดือน

๓. ทรงมีความรักลูกมากตามลักษณะนิสัยของแม่โดยทั่วๆ ไป เมื่อลูกหายก็ออกติดตามหาจนหมดเรี่ยวแรงทั้งแรงกายและแรงใจ




  ชูชก
๑.  มีความตระหนี่เหนียวแน่น  ขอทานได้มากเท่าไรก็เก็บไว้ไม่ยอมนำไปใช้จ่าย
๒.  มีความโลภ เที่ยวขอทานจนมีเงินมากมายก็ยังไม่ยอมหยุดเพื่อนำเงินมาใช้ให้เกิดประโยชน์แก่ตนยังคงขอเรื่อยไป
๓.  รักและหลงเมีย  ยอมให้นางทุกอย่าง
๔.  เป็นคนฉลาด  มีเล่ห์เหลี่ยมมาก  ฉลาดทั้งในด้านการพูดและกลอุบาย


















ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น