|
ถอดความจากเนื้อเรื่อง
เวลานั้นพระนางมัทรีได้ทรงเข้าไปหาผลไม้ในป่า
ก็ทรงหวั่นกลัว เมื่อเห็นธรรมชาติผิดปกติไป ก็ทรงคิดถึงลูกทั้งสอง เดินไปก็เศร้าไปร้องไห้ไป
พอดูผลไม้ในป่าจากที่เคยมีลูกก็มีแต่ดอก
ทั้งดอกไม้ที่พระนางเคยร้อยไปฝากลูกทั้งสอง ท้องฟ้าก็แดงเป็นสายเลือด
มืดหมดทั้งแปดทิศ ผลไม้ก็ยังมาหล่นจากมือ
ยิ่งผิดสังเกตเลยรีบก้าวเท้าเดินโดยเร็ว มาถึงกลางทางก็ดันมาเจอสัตว์ทั้งสามตัว
คือ พญาราชสีห์ พญาเสือเหลือง และพญาเสือโคร่ง
ยิ่งร้องไห้ รอเวลาก็คิดว่าป่านี้ลุกคงคอย หากจะเดินไปทางอื่นก็ไกลมาก
มีทั้งขอนไม้ ก้อนหินมากมาย เลยกราบไหว้อ้อนวอนขอทางกลับ
แล้วจะแบ่งผลไม้ให้สักครึ่ง
เทพทั้งสามที่แปลงกายมาเมื่อได้ฟังแล้วก็เห็นพระนางร้องไห้น้ำตาเต็มไปทั้งสองตาก็หลีกทางให้
พระนางรีบวิ่งไปแล้วร้องไห้ไปไม่ยอมหยุด สักพักก็ถึงอาศรม
ถึงที่ที่ลูกทั้งสองเคยเล่นกันก็ไม่เห็น ใจเริ่มเริ่มหวั่นเรียกหาก็ไม่มี
พระนางทรงพรรณนาถึงความหลังมากมายถึงลูกทั้งสอง คิดว่าลูกจะสิ้นใจไปเสียแล้ว
เมื่อตรัสถามพระเวสสันดรก็พูดไม่ใยดีแต่สักนิด
คิดว่าคบชายอื่นแต่พระนางก็ไม่ถือโกรธเพราะทั้งลูกและสามีล้วนเป็นเพื่อนร่วมในยามยาก
แต่กราบทูลเท่าไรพระสามีก็ไม่ฟัง ไม่ตรัสตอบแต่คำเดียว
จึงยิ่งทำให้พระนางมัทรียิ่งกลุ้มใจยิ่งขึ้น พระนางหนักใจเหลือเกิน
เหมือนคนเอาเหล็กแดงมาแทงใจให้เจ็บใจจนทนไม่ได้ ทั้งลูกก็หายไปแม่แทบทนไม่ไหว
หากพระเวสสันดรไม่ใยดี เห็นว่าพระนางคงจะสิ้นใจอยู่ในป่านี้แล้ว
เมื่อพระเวสสันดรทรงได้ฟังพระนางมัทรีแล้ว
จึงรีบคิดหาวิธีดับโศกให้
ว่าพระนางมีพักตร์อันผุดผ่องเสมือนเอาน้ำทองเข้ามาทาบทับผิว
เหมือนเป็นนางฟ้าลงมา ใครเห็นก็อยากจะชื่นชม พระองค์เลยเลยพูดกล่าวโทษว่าไปลอบคบชายอื่น
แล้วยังมามารยา เมื่อตอนเช้าก่อนจะไปยังทำเป็นห่วงใยลูกไม่อยากจาก
แต่ไปซะนานเพิ่งจะกลับมาเอาปานนี้ หรือจะไปติดใจผลไม้ดีๆ แล้วลืมลูกลืมสามี
ช่างไม่รู้จริงๆ กับใจหญิง หากเป็นเหมือนเมื่อก่อนนั้นตอนที่เป็นกษัตริย์ พระนางก็คงไม่มีชีวิตอยู่
เพราะพระองค์จะสั่งประหาร ร่างกายก็ขาดสบั้นไปทันตาแล้ว
ส่วนพระนางมัทรีเมื่อได้ฟังคำพระเวสสันดรก็ทรงเจ็บใจและหายทุกข์โศกลงบ้าง
แล้วก้มกราบบังคมทูลพระเวสสันดรว่าที่พระนางมาช้าเพราะว่า
ภายในป่าทั้งผลไม้ต้นไม้ พืชพรรณนานาชนิดมันแปรปรวนหมด ทั้งป่ามืดทั้งแปดทิศ
พระนางก็รีบวิ่งไม่หยุดหย่อน แต่ก็มาเจอสัตว์ราชสีห์ และเสืออีกสองตัว กัดไว้
จนเวลาตะวันตกดินแล้วจึงมาได้พระนางพยายามอธิบายและแสดงความจงรักภักดีต่อพระเวสสันดร
ว่าพระนางเป็นเพื่อนยากให้พระองค์มาตลอดแล้วเห็นตรงไหนที่ผิดสังเกตบ้าง
เมื่อไม่ว่าจะทุกข์ยากยังไงก็ทนหาผลไม้
เข้าไปในป่าก็โดนขุดขวนจนเป็นริ้วรอยเลือดไหล
พระนางทรงรักสามีเหมือนดังบิดาของตน ไม่เคยคิดที่จะนอกใจ
ด้วยพระคุณพระกรุณาให้พระเวสสันดรทรงให้อภัยความผิดครั้งนี้ของนางด้วย
เมื่อพระนางมัทรีทรงกราบทูลไปแล้วพระเวสสันดรก็ยังนิ่งเฉยไม่กล่าวอะไร
พระนางจึงออกอาการเศร้าโศกยิ่งสะอึกสะอื้น
และกราบบังคมออกมาเที่ยวตามหาพระกุมารทั้งสองตามสถานที่ต่างๆ
รำลึกถึงความหลังเมื่อถึงสถานที่ตรงที่พระกุมารทั้งสองเคยเล่นกัน ยิ่งมองในน้ำก็มีแต่น้ำขุ่น
มองป่าก็จากที่เคยดำผุดดำว่ายอยู่ก็ไม่มี นกที่เคยบินลงจิกอาหารก็ไม่เห็น
ทุกอย่างแปลกตาแปรปรวนไปทุกอย่างยิ่งทำให้ใจหาย
ออกตามหาต่อเมื่อได้ยินเสียงอะไรก็คิดว่าเป็นเสียงพระกุมารทั้งสอง
มองเห็นอะไรตะคุ่มๆ ก็คิดว่าจะเป็นพระกุมารทั้งสอง
ทุกอย่างรอบกายที่ได้ยินได้เห็นก็คิดว่าจะเป็นลุกทั้งสอง จึงกล่าวว่า
เวลาปานนี้จะดึกดื่น จนจะรุ่งแล้วก็ไม่รู้เลย ลมพัดเรื่อยๆอกแม่เองก้อ่อนล้า
ทั้งดาวเดือนก็ลับกิ่งไม้ลง ฝูงลิงฝูงค้างก็เที่ยวกลับเกลือกอยู่มากมาย
นกก็เงียบไปทุกรัง แต่ตัวแม่ยังคงเที่ยวตามหาลูกอยู่ในป่าทุกหนแห่ง
สุดแล้วสายตาที่แม่จะตามลูกไปดูแล สุดที่จะได้ยินเสียง สุดปัญญาสุดค้นหาสุดที่จะคิดแล้วที่แม่จะได้พบลูกน้อยแต่รอยสักนิดก็ไม่มี
ลูกทั้งสองเจ้าเอ๋ย
หรือว่าเจ้าทั้งสองจะสิ้นเสียแล้วเหมือนดังที่แม่ได้ฝันเมื่อคืน
เมื่อพระนางมัทรีทรงตามหาแล้วจนทั่วแห่งละ
๓ หน ก็ยังไม่เจอ ทรงหมดเรี่ยวแรง และเมื่อกลับมาที่อาศรมก็เหมือนจะสิ้นใจลงตรงนั้น
ทรงพรรณนาถึงลุกทั้งสอง ทรงร้องไห้น้ำตานองหน้าตลอดตั้งแต่ตามหาก็ยังไม่หยุด
คร่ำครวญร้องไห้ หากว่าพระนางรู้ว่าลูกอยู่หนแห่งใดก็จะไปตามหาหรือลูกจะข้ามน้ำทะเลไปเขตแคว้นอื่นแล้ว
หากแม่รู้แม่จะไปตามลูกด้วยเรี่ยวแรงที่เหลือ
เมื่อตอนเช้าแม่ยังได้กอดจูบลูกอยู่แต้ตอนนี้ไม่เห็นเสียแล้ว
ยามลูกทั้งสองอยู่แม่กล่อมเจ้าแล้วต่อแต่นี้แม่จะกล่อมใครให้นิทรา
แม่คิดว่าเจ้าจะได้เป็นเพื่อนยากกันยามหน้าแม่จะได้ฝากผีพึ่งลูกทั้งสองคน
แต่เจ้าก็ทิ้งแค่ชื่อไว้ให้เปล่าออก
แล้วสมควรหรือไงที่มาสลัดทิ้งแม่ไปให้แม่ต้องเสียใจ และจะสิ้นใจเสียให้
เลยกราบบังคมทูลน้อมศีรษะลงต่อพระเวสสันดรเพื่อที่จะได้รู้
แล้วกราบบังคมลาเมื่อเท้าย่องย่างก็ไม่ไหวต่อร่างกายที่อ่อนล้า
ร่างกายหน้าตาง่วงงอให้พระนางไม่ไหวไม่ทันได้บังคมทูล
พอพูดพระคุณเจ้าเอ๋ยแค่คำเดียวเท่านั้นก็ไม่มีเสียง ตาหลับร่างลงสลบตรงหน้าพระเวสสันดร
ดั่งพุ่มฉัตรทองถูกสายอัสนีฟาดลงระเนนเอนแล้วก็ล้มลงตรงหน้าพระที่นั่งพระเวสสันดรทันที
เวลานั้นพระเวสสันดรก็ทรงทอดพระเนตรเห็นพระนางมัทรีสลบไปก็คิดว่าพระนางจะสิ้นใจแล้ว
จึงพรรณนาว่า บุญของพี่นี้น้อยนักเพื่อนยาก เจ้ามาตายจากพี่ไปภายในวัด
เจ้าจะเอาป่าแห่งนี้เป็นป่าช้า จะเอาอาศรมหลังนี้หรือเป็นบริเวณเมรุทอง
จะเอาเสียงสาริดร่ำร้องเสียงจักจั่นและเรไรอันร่ำร้องหรือมาเป็นกลองประโคมใน
และแตรสังข์เป็นพิณพาทย์ จะเอาเมฆหมอกเป็นเพดาน
จะเอายุ่งในป่าหรือมาแต่งฉัตรเงินและฉัตรทอง
แล้วจะเอาแสงพระจันทร์หรือมาเป็นแสงไฟประดับ
ช่างน่านิจจามัทรีมาตายไร้ญาติอยู่ในป่า
เมื่อได้ตั้งสติลดโศกเศร้าจึงพิจารณาก็รู้ว่ายังไม่สิ้น
จึงเอาผ้ากับน้ำมาประคบเพื่อให้ฟื้น ยกศีรษะพระนางตั้งบนตัก
แล้วประคบเพื่อให้นางฟื้นตื่นขึ้นมา
เมื่อพระนางมัทรีตื่นขึ้นมาเห็นตนนอนอยู่บนตักพระเวสสันดร ก็เห็นว่ามิควร เลยรีบลุกแล้วถัดลงไป ก็ทรงทูลถามพระเวสสันดรต่อว่าลูกทั้งสองอยู่ที่ไหน พระองค์ทรงเล่าให้ฟังว่า ได้ให้ทานแก่พราหมณ์เมื่อวานนี้แล้ว ขอให้พระนางจงอย่าโศกเศร้าไปเลย ให้ศรัทธาในการทำทานครั้งนี้ หากเรายังมีชีวิตอยู่ต้องได้เจอกันสักวัน พระองค์จะต้องให้ผู้ที่มาขอ ถึงแม้จะมีผู้มาขอเนื้อหนัง เลือด หรือจะเป็นดวงตา พระองค์พร้อมที่จะให้ และถ้าหากพระองค์มีเงินทองมากมาย หากมียาจกมาไหว้วอนขอก็จะให้เช่นกัน มัทรีจงช่วยอนุโมทนาทานในครั้งนี้ด้วย
พระนางมัทรีทรงถามว่า
เมื่อวานนี้ทำไมพระองค์ไม่บอกให้รู้ พระเวสสันดรจึงตอบว่า หากจะเล่าให้พระนางฟังก็สุดใจมาจากป่าไกลยังเหนื่อยอยู่
และด้วยความรักร้อนรนที่มีต่อลูก ที่ลูกทั้งสองไปไกลตา พระนางมัทรีเลยพูดต่อว่า
พระกุมารทั้งสองคนพระนางอุตสาถนอม เลี้ยงดูมา ก็ขออนุโมทนาด้วยปิยบุตรทานบารมีด้วย
ขอให้น้ำพระทัยพระองค์จงผ่องแผ้วอย่ามีมัจฉริยธรรมอกุศลอย่าปนในน้ำพระทัยของพระองค์
ลักษณะตัวละคร
ตัวละครสำคัญได้แก่
พระเวสสันดร
๑.
ทรงเชื่อฟังพระบิดา ยอมถูกเนรเทศออกจากบ้านเมืองมาอยู่ป่า ทั้งยังเป็นผู้ที่มีน้ำพระทัยเด็ดเดี่ยว
พระองค์ทรงบำเพ็ญบุตรทานบารมีด้วยการบริจาคพระกัณหาและพระชาลีเพราะความมุ่งหวังโพธิญาณที่จะยังสรรพสัตว์ให้สามารถข้ามวัฏสังสาร
(การเวียนว่ายตายเกิด)ไปให้ได้
๒.
ทรงเป็นผู้ที่มีไหวพริบปฏิภาณดีแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้อย่างรวดเร็ว
อีกทั้งมีจิตวิทยาที่ดีเลิศ
พิจารณาได้จากการที่พระองค์พยายามเบี่ยงเบนความโศกเศร้าของพระนางมัทรีด้วยการกล่าวบริภาษอย่างรุนแรง
เพื่อให้พระนางมัทรีคลายความเศร้าโศกลง
พระนางมัทรี
๑.
ทรงเป็นผู้มีจิตเลื่อมใสศรัทธาเข้าใจการบริจาคทานของพระเวสสันดรพระนางมัทรียังอนุโมทนากับการบริจาคทานครั้งนี้อีกด้วย
๒.
ทรงเป็นผู้มีความรัก ความจงรักภักดี และกตัญญูต่อพระเวสสันดรผู้เป็นพระสวามี โดยเห็นได้จากการที่ทรงตามเสด็จออกมาทนทุกข์ยากลำบากอยู่ในป่าด้วย
ยอมเป็นผู้หาอาหารในป่าด้วยตนเอง เพื่อปรนนิบัติพระสวามีและพระโอรสธิดาโดยตลอด
เป็นเวลากว่าเจ็ดเดือน
๓. ทรงมีความรักลูกมากตามลักษณะนิสัยของแม่โดยทั่วๆ ไป เมื่อลูกหายก็ออกติดตามหาจนหมดเรี่ยวแรงทั้งแรงกายและแรงใจ
ชูชก
๑. มีความตระหนี่เหนียวแน่น ขอทานได้มากเท่าไรก็เก็บไว้ไม่ยอมนำไปใช้จ่าย
๒. มีความโลภ
เที่ยวขอทานจนมีเงินมากมายก็ยังไม่ยอมหยุดเพื่อนำเงินมาใช้ให้เกิดประโยชน์แก่ตนยังคงขอเรื่อยไป
๓. รักและหลงเมีย ยอมให้นางทุกอย่าง
๔. เป็นคนฉลาด
มีเล่ห์เหลี่ยมมาก
ฉลาดทั้งในด้านการพูดและกลอุบาย
|
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น