|
บทที่
๒
วิเคราะห์เรื่องมหาเวสสันดรชาดก
กัณฑ์มัทรี
ข้อคิดจากเรื่อง
๑.
ความรักของแม่ที่มีต่อลูกนั้นยิ่งใหญ่นัก แนวคิด
พระนางมัทรีมีความรักในสองกุมารยิ่งนัก พระนางทุ่มเททั้งกำลังกาย
กำลังสติปัญญาที่มีเพื่อค้นหาสองกุมารจนหมดสิ้นเรี่ยวแรง
และสิ้นเสียงที่ร่ำร้องเรียกหา
พระนางมัทรีดั้นด้นตามหาสองกุมารในป่าโดยมิได้พรั่นกลัวต่อภยันตรายเลยถึง ๓ รอบ
จนกระทั่งหมดกำลังและสิ้นสติไปในที่สุด
๒.
ผู้ที่ปรารถนาสิ่งต่างๆ
อันยิ่งใหญ่จะต้องทำด้วยความอดทนและเสียสละอันยิ่งใหญ่ด้วย แนวคิด
เฉกเช่นพระเวสสันดรที่ทรงปรารถนาพระโพธิญาณ
จึงต้องทรงบำเพ็ญบุตรทานที่ถือว่าเป็นทานที่สูงส่ง พระองค์ต้องทรงตัดความอาลัยรักที่มีต่อพระลูกรักทั้งสอง
ทั้งยังทรงต้องตัดความรักความสงสารที่มีต่อพระมเหสีมัทรีด้วย
ทั้งๆที่ในพระทัยนั้นต้องเจ็บปวดยิ่งนักเพราะไหนจะทรงห่วงใยพระลูกรัก
และยังต้องเสแสร้งแกล้งทำเป็นตัดพ้อต่อว่าพระนางมัทรีด้วยการกล่าวบริภาษที่รุนแรง
และยังต้องทรงทนทำเฉยเมยไม่แยแสกับการตัดพ้อต่อว่าคร่ำครวญของพระนางมัทรีด้วย
๓.
ความซื่อสัตย์ระหว่างสามีภรรยาทำให้ชีวิตครอบครัวมีความสุข แนวคิด
เฉกเช่นพระนางมัทรีมีความจงรักภักดีต่อพระเวสสันดรยิ่งนัก
ไม่ว่าพระเวสสันดรจะทรงกล่าวบริภาษพระนางอย่างรุนแรงก็ตาม อาทิ หาว่าพระนางคบชู้สู่ชาย
แม้จะสร้างความเจ็บช้ำน้ำใจแก่พระนางยิ่งนัก แต่พระนางมัทรีก็มิได้ทรงถือโกรธ
ทั้งยังกล่าวชี้แจงเหตุผลตามความเป็นจริงอีกด้วย
๔.
ผู้มีปัญญาย่อมแก้ไขเหตุการณ์เฉพาะหน้าได้ดี แนวคิด
เห็นได้จากพระเวสสันดรที่ทรงมีปฏิภาณไหวพริบเป็นเยี่ยมในการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า
เพราะเมื่อทรงเห็นว่าพระนางมัทรีกำลังมีแต่ความทุกข์เศร้าโศกที่ตามหาสองกุมารไม่พบ
พระองค์จึงทรงเบี่ยงเบนความคิดและอารมณ์ทุกข์โศกของพระนางด้วยการทำเป็นตัดพ้อต่อว่าด่าทอที่พระนางมัทรีกลับมาถึงพระอาศรมค่ำๆ
มืดๆ ทั้งๆ ที่ไม่เคยเป็นมาก่อนซึ่งก็ทำให้พระนางมัทรีบรรเทาความทุกข์โศกลง
เพราะความน้อยเนื้อต่ำใจที่ถูกต่อว่าทั้งๆ ที่ไม่มีความผิด
ทั้งยังต้องคิดถ้อยคำกราบทูลถึงเหตุผลที่แท้จริงให้พระสวามีทรงทราบอีกด้วยและครั้นพระเวสสันดรทรงเห็นพระนางสร่างโศกแล้วจึงทรงเล่าความจริงให้ฟัง
๕.
การบริจาคบุตรทานงบารมีเป็นสิ่งที่ยากยิ่งที่ใครจะกระทำได้ง่ายๆ แนวคิด
เฉกเช่นพระเวสสันดรที่ทรงกระทำด้วยการให้บุตรทั้งสองแก่ชูชกทั้งๆ
ที่ทรงรู้ว่าชูชกจะนำไปเป็นข้ารับใช้
พระองค์ก็ยังมีพระทัยอันแน่วแน่ที่จะทรงกระทำ
และอีกทั้งพระนางมัทรีเมื่อทรงทราบว่าพระเวสสันดรได้ทรงบำเพ็ญทานดังกล่าว พระนางก็ยังทรงยินดีร่วมอนุโมทนาด้วยอีก
คุณค่าของเรื่อง
๑.
ด้านวรรณศิลป์ ร่ายยาวมหาเวสสันดรชาดก กัณฑ์มัทรี
มีคุณค่าทางด้านวรรณศิลป์หลายประการ ที่เห็นได้เด่นชัด ได้แก่
๑)
การใช้ธรรมชาติเปรียบกับความทุกข์โศกของพระนางมัทรี
ในกัณฑ์มัทรีนี้จะเห็นได้ว่าธรรมชาติมีความเกี่ยวข้องกับพระนางมัทรีมาก
เพราะเป็นสิ่งแสดงให้เห็นถึงลางบอกเหตุว่าพระนางจะต้องประสบกับเรื่องร้ายๆ อาทิ
จากคำประพันธ์ที่ว่า
“...พลางพิศดูผลาผลในการไพรที่นางเคยได้อาศัยทรงสอยอยู่เป็นนิตย์ผิดสังเกต
เหตุไฉนไม้ที่มีผลเป็นพุ่มพวง ก็กลายกลับเป็นดอกดวงเดียรดาษอนาถเนตร...” และจากคำประพันธ์ที่ว่า “...โอ พระอาศรมเจ้าเอ๋ยน่าอัศจรรย์ใจ
แต่ก่อนดูนี่สุกใสด้วยสีทอง
เสียงเนื้อนกนี่ร่ำร้องสำราญรังเรียกคู่คูขยับขัน...”
จะเห็นได้ว่าเป็นการใช้ธรรมชาติเป็นฉากที่ร่วมพรรณนาความ
เพราะมีการใช้ถ้อยคำให้เกิดจินตภาพและเหมาะสมกับตัวละคร
อีกทั้งยังสร้างบรรยากาศให้กระทบอารมณ์ของผู้อ่านได้ดีอีกด้วย ทั้งหม่นหมอง
โศกเศร้าและสงสาร
๒)
การเล่นเสียง เป็นลักษณะเด่นของวรรณศิลป์ใน ร่ายยาวมหาเวสสันดรชาดก
กัณฑ์มัทรีนี้ คือ มีทั้งการเล่นเสียงพยัญชนะ สัมผัสสระ และการเล่นคำซ้ำ อาทิ
การเล่นเสียงสัมผัสพยัญชนะ
มักเกิดจากการใช้พยัญชนะเสียงเดียวกันติดๆกันหลายคำ เช่น
-
“...แถวโน้นก็แก้วเกดพิกุลแกมกับกาหลง...”
การเล่นเสียงสัมผัสสระ
เช่น
-
“...แต่ลูกรักทั้งคู่ไปอยู่ไหนไม่เห็นเลย...”
-
“...มาพานพบขบกัดตัดชีวิตพระลูกข้าพาไปกินเป็นอาหาร...”
-
“...แม่ยังกลับหลังมาโลมลูบจูบกระหม่อมจอมเกล้าทั้งสองรา...”
๓)
การเล่นคำ มีการเล่นคำที่เรียกกันว่า “สะบัดสะบิ้ง” ซึ่งจะแบ่งคำออกเป็น ๒
กลุ่มเท่าๆ กัน แล้วซ้ำคำเดียวกันที่มีสระเสียงสั้นในพยางค์หน้า
ส่วนพยางค์หลังจะเล่นเสียงพยัญชนะเดียวกันแต่ต่างสระ ก่อให้เกิดจังหวะคำที่ไพเราะ
เช่น
-
“...ทรงพระสรวลสำรวลร่าระรื่นเริงรีบรับเอาขอคาน...”
การเล่นคำซ้ำ
เช่น
-
“...โอ แต่ก่อนเอยแม่เคยได้ยินแต่เสียงเจ้าเจรจาแจ้วๆ อยู่ตรงนี้...”
-
“...พระโสตฟังให้หวาดแว่วว่าสำเนียงเสียงพระลูกแก้วเจ้าบ่นอยู่งึมๆ
พุ่มไม้ครึ้มเป็นเงาๆ ชะโงกเงื้อม
พระเนตรเธอแลเหลือบให้ลายเลื่อมเห็นเป็นรูปคนตะคุ่มๆ อยู่คล้ายๆ แล้วหายไป...”
๔)
การใช้ภาพพจน์ ในกัณฑ์มัทรีนี้มีการใช้ถ้อยคำที่สละสลวย
ทำให้ผู้อ่านเกิดภาพตามไปด้วย ทั้งยังมีการใช้ภาพพจน์หลายลักษณะ คือ
การใช้ภาพพจน์แบบอุปมา
คือ การเปรียบเหมือน จะมีการใช้คำที่แสดงการเปรียบเหมือน อาทิ เหมือน ประหนึ่ง
ดุจ ดัง ดั่ง ฯลฯ เช่น
-
“...ทรงพระพักตร์ผิวผ่องดุจเนื้อทองไม่เทียมสี...”
-
“...เสมือนหนึ่งลูกหงส์เหมราชปักษิณ ปราศจากมุจลินท์ไปตกคลุกในโคลนหนอง...”
-
“...มัทรีสัตยาสวามิภักดิ์รักผัวเพียงบิดาก็ว่าได้...”
การใช้ภาพพจน์แบบอุปลักษณ์
คือ การเปรียบเป็น เป็นการเปรียบเทียบที่ไม่ใช้คำที่มีความหมายว่าเปรียบให้เห็น
อาจใช้กริยา “คือ” หรือ “เป็น” ในเชิงเปรียบหรือไม่ใช้ก็ได้ เช่น
-
“...ทั้งแปดทิศก็มืดมัวมิดมัวมนทุกหนแห่ง ทั้งขอบฟ้าก็ดาดแดงเป็นสายเลือด...”
-
“...พระคุณเอ่ยถึงพระองค์จะสงสัย
ก็น้ำใจของมัทรีนี้กตเวทีเป็นไม้เท้าก้าวเข้าสู่ที่ทางทดแทน...”
การใช้ภาพพจน์แบบสัทพจน์
เป็นการเลียนเสียง ทำให้มีชีวิตชีวายิ่งขึ้น เช่น
-
“...ทั้งจักจั่นพรรณลองไนเรไรร้องอยู่หริ่งๆ ระเรื่อยโรย...”
การใช้ภาพพจน์แบบบุคคลวัต
คือ ให้สิ่งไม่มีชีวิตทำอากัปกิริยาเลียนแบบมนุษย์ เช่น
-
“...ทั้งอาศรมก็หมองศรีเสมือนหนึ่งว่าจะเศร้าโศก...”
-
“...ทั้งนกหกก็งัวเงียเหงาเงียบทุกรวงรัง...”
-
“...รัศมีพระจันทร์ก็มัวหมองเหมือนหนึ่งจะเศร้าโศกแสนวิปโยคเมื่อยามปัจจุสมัย...”
๕)
รสในวรรณคดีไทยวรรณคดีเรื่องมหาเวสสันดรชาดก กัณฑ์มัทรี มีครบทั้ง ๔ รส คือ
เสาวรจนี
เป็นบทชมโฉม ชมความงาม เช่น
ตอนที่พระเวสสันดรกล่าวชมพระนางมัทรีว่าเป็นผู้ที่มีความงดงามยิ่งนักใครเห็นใครก็รัก
ดังคำประพันธ์ที่ว่า
“...เจ้าผู้มีพักตร์อันผุดผ่องเสมือนหนึ่งเอาน้ำทองเข้ามาทาบทับประเทืองผิว
ราวกะว่าจะลอยลิ่วเลื่อนลงจากฟ้า
ใครได้เห็นเป็นขวัญตาเต็มหลงละลายทุกข์ปลุกเปลื้องอารมณ์ชายให้เชยชื่น...”
นารีปราโมทย์
เป็นบทเกี้ยว โอ้โลม ในทางรักใคร่พิศวาส เช่น
ตอนที่พระนางมัทรีวอนขอทางจากสัตว์ใหญ่ทั้งสามที่นอนขวางทางเดิน
พระนางทรงใช้ถ้อยคำที่ไพเราะทั้งๆ ที่น้ำพระเนตรนองหน้า ทำให้บรรดาสัตว์
(เทวดาแปลงกาย) เหล่านั้นต้องยอมเปิดทางให้
พิโรธวาทัง
เป็นบทตัดพ้อต่อว่า แสดงความโกรธ ความแค้น เสียดสี
ดังตอนที่พระเวสสันดรกล่าวบริภาษพระนางมัทรีที่กลับมาถึงอาศรมจนมืดค่ำ
สัลลาปังคพิสัย
เป็นบทโศก คร่ำครวญ เศร้าสร้อย เสียอกเสียใจ ในกัณฑ์มัทรีนี้
ตอนที่เป็นบทของพระนางมัทรีจะเป็นสัลปังคพิสัยเกือบหมด อันแสดงถึงความเศร้าศก
คร่ำครวญต่อพระกุมารเป็นหนักหนาและทั้งต่อพระเวสสันดรด้วย
๒.
ด้านสังคม
๑)
สภาพชีวิตและสังคมไทยสมัยก่อนผู้หญิงต้องพึ่งสามี ดูแลปรนนิบัติลูกและสามี แต่ปัจจุบันผู้หญิงทำงานทั้งในบ้านและนอกบ้าน
๒)
ค่านิยมของสังคมไทยผู้หญิงจะต้องซื่อสัตย์จงรักภักดีต่อผู้เป็นสามี
ไม่ประพฤติตนนอกใจให้เสื่อมเสีย รวมทั้งสามีด้วย ครอบครัวจะได้มีความสงบสุข
๓)
คติการเลี้ยงดูลูกผู้หญิงสมัยก่อนจะต้องอบรมเลี้ยงดูลูกด้วยตนเองอย่างทะนุถนอม
เพราะถือว่าเป็นที่พึ่งในวันข้างหน้า
ลูกจะได้เลี้ยงดูบิดามารดาด้วยความกตัญญูเช่นกัน
๔)
ความเชื่อบางประการ เช่น เรื่องเทพยดา ลางบอกเหตุ ความเชื่อในผลบุญกุศลที่ทำ
๕)
ประเพณีนิยม ได้แก่ การเห่กล่อมลูก ประเพณีงานศพ ประเพณีการออกบวช
๓.
ด้านการนำไปใช้
จากเรื่องพระเวสสันดร
กัณฑ์มัทรี สามารถวิเคราะห์คติในการนำไปใช้เป็นหลักในชีวิตประจำวันได้ ดังนี้
๑)
ผู้ที่เป็นใหญ่จะต้องมีคุณธรรม และขันติธรรม
๒)
ผู้ที่เป็นใหญ่จะต้องเห็นประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าประโยชน์ส่วนตัว
๓)
ความซื่อสัตย์และกตัญญูเป็นสมบัติที่ประเสริฐของมนุษย์
๔)
ชัยชนะที่แท้จริงคือชนะใจตนเอง
๕)
การอธิบายเหตุผลตามความเป็นจริง มิใช่เป็นการแก้ตัวให้พ้นผิด
แต่เป็นการชี้แจงเพื่อทำความเข้าใจ
|
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น