|
บทที่ ๓
ความรู้ประกอบเรื่อง
ความหมายของชาดก
“ชาดก”
(เป็นคำในภาษาบาลีมาจาก “ชาตะ” แปลว่า เกิดลง)
ประวัติหรือเรื่องของประพุทธเจ้าเมื่อครั้งเสวยพระชาติเป็นพระโพธิสัตว์
ได้ทรงบำเพ็ญบารมีต่างๆ เพื่อที่จะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า
ชาดก มี ๒ ประเภท
คือ
๑. นิบาตชาดก
เป็นชาดกที่มีปรากฏอยู่ในคัมภีร์พระพุทธศาสนา ถือเป็นพระพุทธวัจนะ มีทั้งหมด ๕๕๐
เรื่อง แบ่งออกเป็นหมวดๆ ตามจำนวนคาถานับตั้งแต่ ๑ คาถา ถึง ๘๐ คาถา ชาดกที่มี ๑
คาถา เรียกว่า “เอกนิบาตชาดก”, ๒ คาถา เรียกว่า “ทุกนิบาตชาดก”, ๓ คาถา เรียกว่า “ติกนิบาตชาดก”, ๔ คาถา เรียกว่า “จตุนิบาตชาดก”, ๕ คาถา เรียกว่า “ปัญจกนิบาตชาดก”, และ ๘๐ คาถา เรียกว่า “อสีตินิบาตชาดก”, ชาดกที่มีคาถาเกินกว่า ๘๐
คาถาขึ้นไปเรียกว่า “มหานิบาตชาดก”
มหานิบาตชาดก ๑๐
เรื่อง เรียกว่า “ทศชาติชาดก” หรือ “พระเจ้าสิบชาติ” มีดังนี้
๒. ปัญญาสชาดก
เป็นชาดกนอกนิบาต แต่งขึ้นจากนิทานพื้นบ้านมี ๕๐ เรื่อง พระภิกษุชาวเชียงใหม่
เป็นผู้แต่งขึ้นเมื่อประมาณปี พ.ศ. ๒๐๐๐-๒๒๐๐ เป็นภาษามคธ โดยเลียนแบบนิบาตชาดก
ครั้น พ.ศ. ๒๔๕๓-๒๔๕๘ พระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระสมมตอมรพันธ์
ดำรงตำแหน่งองค์สภานายกหอพระสมุดสำหรับพระนคร ได้ทรงแปลเป็นภาษาไทย
เรื่องปัญญาสชาดกจึงแพร่หลาย
สมเด็จฯ
กรมพระยาดำรงราชานุภาพได้ประทานคำอธิบายไว้ในหนังสือมหาชาติคำหลวง ฉบับ พ.ศ.
๒๔๕๙ ว่า
การศึกษามหาชาติคำหลวงเป็นการศึกษาเพี่อความรู้ในหมู่นักปราชญ์ราชบัณฑิต
ประชาชนทั่วไปไม่รู้จัก เพราะเดิมมหาชาติคำหลวงแต่งเป็นภาษามคธ ไม่ปรากฏผู้แต่ง
มีการแปลเป็นภาษาไทยในสมัยกรุงสุโขทัย แต่ต้นฉบับสูญหายไป
หนังสือมหาชาติแปลเป็นภาษาไทยที่เก่าที่สุด คือ “มหาชาติคำหลวง”
ในเวลานี้มีจดหมายปรากฏว่า
สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ มีรับสั่งให้ประชุมนักปราชญ์ราชบัณฑิตในกรุงศรีอยุธยาแปลแต่ง
เมื่อปีขาล พุทธศักราช ๒๐๒๕
และเมื่อกรุงเก่าเสียแก่ข้าศึกนั้นต้นฉบับมหาชาติสูญหายไป ๖ กัณฑ์ คือ
กัณฑ์หิมพานต์ กัณฑ์ทานกัณฑ์ กัณฑ์จุลพล กัณฑ์มัทรี กัณฑ์สักบรรพ
และกัณฑ์ฉกษัตริย์ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยจึงโปรดให้ประชุมนักปราชญ์ราชบัณฑิตในกรุงรัตนโกสินทร์
แต่งกัณฑ์ที่ขาดหายไปขึ้นใหม่แทนเมื่อปีจอ จุลศักราช ๑๑๗๖ (พุทธศักราช ๒๓๕๘)
ประเพณีเทศน์มหาชาติ
ประเพณีการเทศน์มหาชาติมีมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา
ตามปกตินิยมจัดเทศน์มหาชาติระหว่างเดือน ๑๒ (พฤศจิกายน) กับเดือนอ้าย (ธันวาคม)
วัดที่จัดเทศน์จะแจกใบฎีกาหาเจ้าของกัณฑ์
ผู้รับเป็นเจ้าของกัณฑ์ใดจะต้องจัดเครื่องกัณฑ์ มีธูปเทียนดอกไม้
และเงินตามจำนวนคาถาในกัณฑ์นั้น
รวมทั้งจัดเครื่องไทยทานถวายพระภิกษุให้เข้ากับกัณฑ์ เช่น กัณฑ์กุมาร จัดกล้วย
มะพร้าวอ่อน เป็นเครื่องไทยทาน เป็นต้น
บริเวณที่จัดเทศน์มหาชาติจะมีการประดับด้วยต้นกล้วยต้นอ้อยให้คล้ายนิโครธาราม
ซึ่งเป็นสถานที่ที่พระพุทธเจ้าตรัสเทศนาเรื่อง มหาเวสสันดรชาดก
ความนิยมในการฟังเทศน์มหาชาติ
หรือเทศน์คาถาพัน คือ ฟังเทศน์มหาชาติให้จบ ๑๓ กัณฑ์ พันคาถาภายใน ๑ วัน
เพื่อจะได้มหานิสงส์ไปเกิดในสมัยพระพุทธศรีอาริยเมตไตรย์
การแปลมหาชาติ
สมเด็จฯ
กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงสันนิษฐานว่า
การแปลมหาชาติจากภาษาบาลีเป็นภาษาไทยคงมีมาตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัยแล้ว
แต่ไม่มีหลักฐานเหลืออยู่ เท่าที่พบหลักฐานและเป็นฉบับสำคัญๆ มีดังนี้
๑. มหาชาติคำหลวง
เป็นมหาชาติฉบับแรกเท่าที่มีหลักฐานเหลืออยู่
สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถโปรดให้ประชุมนักปราชญ์และกวีแปลเมื่อปี พ.ศ. ๒๐๒๕
สำหรับสวดให้พุทธศาสนิกชนฟังคำประพันธ์ที่ใช้มีทั้งโคลง ร่าย ฉันท์ และกาพย์
๒. กาพย์มหาชาติ
สมเด็จพระเจ้าทรงธรรมโปรดให้นักปราชญ์และกวีแปลเมื่อ พ.ศ. ๒๑๗๐
แต่งเป็นร่ายยาวและใช้สำหรับเทศน์แต่ยากเกินไปไม่สามารถเทศน์ให้จบภายในวันเดียวได้
๓. มหาชาติกลอนเทศน์
หรือร่ายยาวมหาเวสสันดรชาดก เป็นมหาชาติฉบับแปล สำหรับเทศน์ให้จบภายในวันเดียว
แต่งด้วยร่ายยาว มีมากมายหลายสำนวน เมื่อกระทรวงศึกษาธิการจะนำมาใช้เป็นแบบเรียน
ได้คัดเลือกสำนวนที่ดีมารวมเป็นเล่ม เรียกว่า
“ร่ายยาวมหาเวสสันดรชาดกฉบับกระทรวงศึกษา”
ซึ่งได้รับยกย่องจากวรรณคดีสโมสรในรัชกาลที่ ๖
ให้เป็นยอดของวรรณคดีประเภทกลอนเทศน์สำนวนที่ได้รับเลือกและเพลงประจำกัณฑ์
มีดังนี้
มหาเวสสันดรชาดกประกอบด้วย
๑๓ กัณฑ์ ดังนี้
สมเด็จพระมหาสมณเจ้า
กรมพระปรมานุชิตชิโนรส
สมเด็จพระมหาสมณเจ้า
กรมพระปรมานุชิตชิโนรส
สำนักวัดถนน
รัชกาลที่ ๔
พระเทพมุนี (ด้วง)
วัดสังข์กระจาย
รัชกาลที่ ๔
พระเทพโมลี (กลิ่น)
เจ้าพระยาพระคลัง
(หน)
เจ้าพระยาพระคลัง
(หน)
สำนวนที่ได้รับเลือก
รัชกาลที่ ๔
สมเด็จพระมหาสมณเจ้า
กรมพระปรมานุชิตชิโนรส
สมเด็จพระมหาสมณเจ้า
กรมพระปรมานุชิตชิโนรส
สมเด็จพระมหาสมณเจ้า
กรมพระปรมานุชิตชิโนรส
สาธุการ
ตวงพระธาตุ
พญาโศก
พระยาเดิน
เซนเหล้า
คุกพาทย์, รัวสามลา
เชิดกลอง
โอดเชิดฉิ่ง
ทยอยโอด
กลม, เหาะ, กระบองกันกราวนอก
ตระนอน
กลองโยน
บารมี ๑๐
ประการที่พระเวสสันดรทรงบำเพ็ญจนครบในชาติเดียว
๑. ทานบารมี
พอประสูติก็ตรัสกับพระมารดาแล้วว่าจะบริจาคทานทั้งปวง
๒. ศีลบารมี
เมื่ออยู่ในฆราวาสทรงรักษาอุโบสถศีลทุกๆ ครึ่งเดือน
๓. เนกขัมมบารมี
เพื่อละจากกามคุณ ถือเพศดาบสอยู่ที่เขาวงกต
๔. ปัญญาบารมี
ทรงใช้พระวิจารณญาณช่วยบรรเทาความเศร้าโศกเสียใจที่ได้ยกพระลูกทั้งสองให้แก่ชูชกไป
๕. วิริยบารมี
เมื่อทรงอยู่ในราชสมบัติได้เสด็จออกสู่โรงทาน ๖ แห่งทุกเดือน
ไม่เคยขาดออกบรรพชาแล้วก็ทรงบูชาไฟตลอดเช่นกัน
๖. ขันติบารมี
ไม่ทรงโกรธที่พระบิดาเนรเทศพระองค์
และทรงอดกลั้นความโกรธเมื่อเห็นชูชกเฆี่ยนตีพระลูกทั้งสองต่อหน้าต่อตา
๗. สัจบารมี
เมื่อตรัสว่าจะให้พระโอรสและพระธิดาแก่ชูชก ก็ทรงให้ดังที่ตรัสไว้
๘. อธิษฐานบารมี
ทรงสมาทานมั่นไม่อาลัยต่อการจากไปของสองกุมาร
และเมื่อเห็นกองทัพของพระเจ้ากรุงสญชัยยกมา (รับพระองค์กลับเมือง)
ก็มิได้หวั่นไหวหรือหวาดกลัว
๙. เมตตาบารมี
เมื่อครั้งที่ทรงให้ช้างปัจจัยนาคแก่ชาวเมืองกลิงคราษฎร์ ก็ได้ทรงแผ่เมตตาให้
และเมื่อมาอยู่เขาวงกตก็ทรงแผ่เมตตาแก่บรรดาสรรพสัตว์ทั่วไป
๑๐. อุเบกขาบารมี
ทรงตัดความรัก ความโกรธ ความชังได้ทุกเรื่องโดยตั้งเป็นมัชฌัตตารมณ์ (พรทิพย์ แฟงสุด, ๒๕๕๒: ๑๓๖ – ๑๔๑)
|
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น